“โรฮิงญา” ไร้สถานะความเป็นมนุษย์? บททดสอบความเป็นประชาคมอาเซียน
จากกรณีชาวโรฮิงญาจำนวนมากลักลอบเข้ามาในประเทศไทยเมื่อต้นปี ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทยที่มีความสลับซับซ้อน เมื่อถูกขยายให้บานปลายไปสู่เรื่องการค้ามนุษย์ และการพัวพันกับการก่อการร้ายทางภาคใต้
ในระหว่างที่ปัญหายังคงยุ่งเหยิง ประเทศไทยก็ยังต้องรับภาระควบคุมดูแลชาวโรฮิงญาที่จับกุมได้ไปอีก 6 เดือนตามนโยบายของฝ่ายรัฐบาลโดยยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าหลังจากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตามในวันนี้ ปัญหาโรฮิงญาไม่อาจถือเป็นเรื่องของประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป เมื่อมีแนวคิดในการ "ผนึกกำลังอาเซียน" เข้ามาเพื่อร่วมกันแก้ปัญหานี้ ในฐานะที่ประชาคมอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
ทว่าแนวคิดนี้ จะสามารถเป็นจริงได้อย่างสะดวกง่ายดายเพียงใด?
ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ "โรฮิงญา : บททดสอบและก้าวย่างแห่งประชาคมอาเซียน" เมื่อ 15 ก.พ. โดยมี รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา กล่าวเปิดงานสัมมนา พร้อมด้วยวิทยากร ได้แก่ นายสมชาย หอมลออ รองประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง จากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พันเอก ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความมั่นคง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และ พันตำรวจเอกอนุชา กิติวิภาต จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
พ.ต.อ.อนุชา ในฐานะตัวแทนจากหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมดูแลชาวโรฮิงญาที่ถูกจับได้กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรับหน้าที่ดูแลชาวโรฮิงญาเป็นจำนวน 1,772 คนแล้ว ซึ่งมากพอที่จะดูแลได้อย่างเต็มกำลัง ถ้ามากกว่านี้ก็คงไม่ไหว เพราะการควบคุมดูแลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องประสบปัญหาในเชิงรายละเอียดมากมาย ทั้งเรื่องสุขภาพอนามัย การสื่อสาร การให้อยู่ในโอวาท โดยใช้งบประมาณ 75 บาทต่อคนต่อวัน มีอาหารให้ 3 มื้อ เท่ากับคนไทยที่ถูกจับกุม
แต่หลาย ๆ ฝ่ายที่อยู่วงนอกอาจไม่ทราบจึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเสียกำลังใจ จึงอยากขอทำความเข้าใจในหลาย ๆ ประเด็น เช่น ที่นักวิชาการบางคนบอกว่า ถ้ามีโรฮิงญาเข้ามาและทางการไทยจับกุมและผลักดันกลับไป ในช่วงนั้นโรฮิงญาก็จะไม่มา ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ไม่จริง
เหตุโรฮิงญายังเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีจากการให้การดูแลมีที่พักพิงให้ จึงเหมือนเขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น...
หรือเรื่องที่คุณหญิงบางท่านบอกว่า โรฮิงญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการให้ข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิดความระส่ำระสายไปทั่ว
"ขอยืนยันจากข้อมูลว่า เหตุที่เกิดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2547 ตำรวจออกหมายจับไปทั้งสิ้น 9,007 หมาย ที่จับกุมได้แล้ว 5,420 หมาย ไม่มีที่เกี่ยวข้องกับโรฮิงญาแม้แต่รายเดียว หรือที่บางเสียงอีกบอกว่าเรื่องโรฮิงญามีแก๊งค้ามนุษย์ มีกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ฉวยโอกาสทำเช่นนั้นจริง แต่ไม่ใช่แน่นอนที่ว่าโรฮิงญาเดินทางเข้ามาเพื่อทำงานค้ามนุษย์ คำว่าค้ามนุษย์มันรุนแรงมาก จึงไม่ควรจะใช้เลย เพราะประเทศไทยกำลังย่ำแย่อยู่แล้วในเรื่องนี้ในสายตาของนานาประเทศที่กำลังเพ่งเล็งโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา"
ทั้งนี้ ทาง สตม.เห็นว่า โรฮิงญาใช้ประเทศไทยเป็นเพียงทางผ่าน
โดยเป้าหมายที่แท้จริงคือประเทศที่สามอย่าง "มาเลเซีย" มากกว่า ปัญหาโรฮิงญาจึงเหมือนเผือกร้อนที่ตกลงหน้าตักประเทศไทยในเวลานี้ และไม่มีท่าทีว่า ชาติสมาชิกอื่น ๆ ในอาเซียนจะยื่นมือเข้ามาช่วยแบ่งเผือกร้อนไปถือบ้าง เพราะต่างก็ยังยึดหลักว่า จะไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน !!
นายสมชาย หอมลออ มีความคิดเห็นว่า ปัญหาโรฮิงญาในประเทศไทยตอนนี้ยังเป็นเรื่อง "เล็ก" เกินกว่าที่อาเซียนจะสนใจ โดยเปรียบเทียบกับปัญหาเรื่องทะเลจีนใต้ของฟิลิปปินส์ว่าก็ไม่มีชาติอาเซียนใดใส่ใจเข้าไปช่วยเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ชาติอื่นจะคิดว่าปัญหานี้เป็นของไทยและปล่อยให้ไทยแก้ปัญหาไปคนเดียว
แต่ที่จริงแล้วปัญหาโรฮิงญามีความซับซ้อนเพราะไม่ได้มีเพียงมิติเดียว และมีความเกี่ยวกันกับความเป็นอาเซียนอย่างแท้จริง จึงเป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ถึงขั้นเป็นพันธกรณีของอาเซียนที่จะต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ โดยปมปัญหาหลักอยู่ที่พม่าเองที่ไม่ยอมรับชาวโรฮิงญา ประชาคมอาเซียนจึงควรเข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขปัญหา โดยต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจในพม่า และอาจต้องเลิกหลักการห้ามแทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน
"ถ้าทำไม่ได้ก็ยากที่อาเซียนจะรวมเป็นหนึ่งเดียว" นายสมชาย กล่าวย้ำ
ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว เห็นว่า ปัญหาโรฮิงญาไม่ใช่ปัญหาด้านเดียว ที่จะใช้หลักเกณฑ์เดียวแล้วแก้ไขได้ เนื่องจากมีบริบทที่ซับซ้อน และไม่ใช่ปัญหาของประเทศเดียว การที่รัฐบาลไทยให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า กำลังมองปัญหาว่าเป็นความมั่นคงของชาติ ซึ่งจะทำให้ติดกับดักตัวเอง
ตอนนี้ไทยกำลังแบกรับภาระ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ไทยจึงต้องหาสมดุลการแก้ไขปัญหา ไม่ควรมองแต่ผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ต้องมองในบริบทที่กว้างกว่าเดิม โดยพม่าและไทยจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ ตลอดจนอาเซียนที่ต้องเข้ามามีบทบาทหลัก เพราะถือเป็นบททดสอบสำคัญของ "ความเป็นประชาคมอาเซียนที่มีชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงตลาดสินค้า"
ตอนนี้ "ชาวโรฮิงยาไม่ใช่คนที่ไม่มีรัฐอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นคนที่ไม่มีสถานะความเป็นมนุษย์เลย" ศ.สุริชัย กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ฝ่ายความมั่นคง พันเอก ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง มองว่า โจทย์สำคัญคือต้องอาศัยมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอาเซียน หลักๆ ควรเป็นความพยายามในการเจรจาให้ทุกประเทศอาเซียนเข้ามามีบทบาทแก้ไขร่วมกัน เพราะหน่วยงานความมั่นคงถือเป็นปลายน้ำของปัญหานี้ แต่เดิมเราอาจมองโรฮิงญาแค่เรื่อง "ความมั่นคงแห่งชาติ" แต่ตอนนี้ต้องก้าวผ่านชุดความคิดนี้ไป โดยมุ่งไปที่การวางตัว (positioning) ของประเทศไทยว่าจะเป็นผู้ประสานงานหรืออะไร ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นกลไกที่เป็นรูปธรรมชัดเจน และอาจดึงประเทศมหาอำนาจเข้ามาช่วยเจรจา เช่น สหรัฐ แต่หลีกเลี่ยงการดึงสหประชาชาติเข้ามา เนื่องจากเมื่อเข้ามาแล้วไทยจะผลักดันออกไปได้ยากมาก
และนอกจากความร่วมมือของชาติอาเซียนแล้ว สิ่งที่ทั้งฝ่ายวิชาการ ฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายผู้ปฏิบัติงานเห็นตรงกันต่อการแก้ปัญหาโรงฮิงญาก็คือ ภาคประชาชนเองจะต้องมีบทบาทในการแก้ไขและกำหนดยุทธศาสตร์สังคมร่วมกับรัฐบาลด้วย