เป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจ คือ เสถียรภาพ
ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีประเด็นว่า ค่าเงินบาทแข็ง และอาจเริ่มเป็นแรงกดดันต่อ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล โดยมีประเด็นที่เริ่มพูดกันคือ “ขณะนี้ ธปท.มีเงินกองทุนติดลบไปแล้ว 5.3 แสนล้านบาท แล้วปี 2556 ก็จะต้องขาดทุนต่อไปอีก"

ผมคิดว่า หลายประเด็น ต้องให้ความเป็นธรรมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยต้องมีภาระที่ต้องรับหลายเรื่อง และต้องคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบในหลายๆเรื่อง
1. ภาระการรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน ภาคเอกชนจะแข่งขันได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออกหรือนำเข้า ส่วนมากอาจทำงานได้ ไม่ว่าค่าเงิน “อ่อน” หรือ “แข็ง” ซึ่งจะปรับกลยุทธได้ แต่ขอให้มี “เสถียรภาพ” ดังนั้น ธปท. จึงมักต้องทำหน้าที่แทรกแซงสวนตลาด และหลายๆครั้ง จะต้องยอมขาดทุนเพื่อให้ค่าเงินไม่เหวี่ยงมากเกินไป นั่น เป็นขาดทุนเพื่อให้ภาคเอกชนแข็งแรง ส่งออกได้ นำเข้าได้ อย่างแข่งขันได้ จึงเป็นการขาดทุนที่สมเหตุผล
2. ภาระการรับปัญหา FIDF กลับมาจากรัฐบาล หากเราติดตามข่าวการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอเมริกา หรือยุโรป ในช่วงที่ผ่านมา ก็จะคล้ายๆช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งคือ ต้องหาทางช่วยเพิ่มทุนธนาคาร เพื่อให้ธนาคารกลับมา “ทำงานได้ (Function)” เหมือนเดิม รัฐบาลโดยมาก ยินดีใช้เงินภาษีแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพราะไม่ใช่เพื่อช่วยเพียง “สถาบันการเงิน” แต่เป็นการช่วยให้ สถาบันการเงินทำงานให้ภาคเอกชนได้ ธนาคารต้องแข่งขันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแข่งขันกับต่างประเทศ แต่ต้องรับภาระ 0.47% บนเงินฝาก เพื่อชดเชยความเสียหายยุควิกฤตเศรษฐกิจนั้น ธนาคารก็ยากจะแข่งขันกับธนาคารต่างประเทศได้ และแม้บางคนอาจคิดว่า เรื่องของธนาคาร ควรให้ธนาคารแก้ แต่กลายเป็นว่า เรื่องของธนาคารหรือสถาบันการเงินในอดีต ที่มีปัญหาจน FIDF ต้องเข้าไปช่วยนั้น อาจเกิดจากการบริหารความเสี่ยงไม่ดี มีนักการเมืองเข้าใช้อิทธิพลแทรกแซง แต่กลับต้องให้ธนาคารที่ดี ทำงานหนัก สัตย์ซื่อ ต้องมารับภาระธนาทคารที่ไม่ดี และทำงานได้อย่างมีภาระ ภาระเหล่านี้ ก็อาจมีส่วนทำให้ ธปท. ทำงานยากขึ้น
3. การมีทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินสกุลต่างประเทศ เป็นเรื่องจำเป็น แต่ “ขาดทุน” ถ้าคิดเป็นบาท ซึ่งสมัยปี 1997 ระดับกองทุนสำรองควรจะมีราวๆ 4 หมื่นล้านเหรียญ สรอ. จำได้ว่า เมื่อปลายรัฐบาลยุคนั้น (ซึ่งมีอดีตนายกฯที่อยู่ต่างประเทศเป็นรองนายกฯในช่วงกำลังลอยตัวค่าเงินบาทด้วย) มีเหลือสุทธิหักสัญญาล่วงหน้าเพียง 7 พันล้านเหรียญ สรอ. บัดนี้ หลังจากการแก้วิกฤตมาหลายปี ประเทศไทยเรามีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.82 แสนเหรียญ สรอ. แล้ว นับเป็นอันดับที่ 15 ของโลก หากถือว่า ค่าเงินบาทประมาณคร่าวๆแข็งมา 1.50 จากประมาณ 30 บาท คือ 5% หากคำนวณเป็นบาท เราก็จะขาดทุนถึง 181.608 พันล้าน x 30 บาท x 5% = ขาดทุน 2.73 แสนล้านบาท
แต่ในความเป็นจริง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ไม่ต้องแปลงเป็นบาทหรอก เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นกองทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่า เรามีเงินตราต่างประเทศให้ผู้ต้องการแลกจากเงินบาท
หากคิดว่า การขาดทุนจากการแข็งค่าของเงินบาท แปลว่าถ้าเงินอ่อน จากระดับ 30 บาท สัก 5% เป็น 31.50 บาท เราจะมีกำไร 2.73 แสนล้านบาท แล้วเราจะดีใจหรือ ???
หรือ ถ้าอ่อนไปที่ 40 บาทอีกครั้ง เราอาจจะกำไรเหรียญละ 10 บาท คือกำไร 1.82 ล้านล้านบาท ! แล้วเราจะดีในหรือ ?
จำไม่ได้หรือว่า ตอนเงินบาทอ่อนแอ เรามีภาระหนักขึ้น “ทั้งแผ่นดิน” โดยเฉพาะคนที่มีภาระหนี้ต่างประเทศ ต้องมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจนล้นพ้นตัวไปมากมาย
และที่สำคัญ เราต้องนำเข้าเชื้อเพลิง โดยเฉพาะน้ำมัน หากเราเติมน้ำมันที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ได้ที่ลิตรละ 39-40 บาท (ตอนนี้แพงกว่านั้นแล้ว) แล้วเปลี่ยนเป็น 40 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ราคาน้ำมันจะกลายเป็นลิตรละ 52-53 บาททันที แล้วคนไทยจะมีความสุขกับ “ตัวเลข” ทุนสำรองมีกำไรเมื่อคิดเป็นเงินบาทจริงหรือ ???
4. เสถียรภาพมีความสำคัญ ขณะนี้ หากมองเศรษฐกิจแล้ว ก็ดูจะมีความร้อนแรงในทุกๆด้าน การมองผลิตภัณฑ์มวลรวม คือ GDP ก็มักจะพูดถึงเครื่องยนต์ 4 เครื่อง คือ C + I + G + (X - M) ซึ่งดูจะร้อนแรงทุกด้าน
...การบริโภคในประเทศ (“Consumption”) รายได้ประชาชนดีขึ้น ตลาดหุ้นดีขนาดนี้ทั่วโลก กำลังซื้อประชาชนสูงมาก
...การลงทุนภาคเอกชน (“Investment”) สูงขึ้น จากการซ่อมแซมหลังน้ำท่วม การลงทุนใหม่ โครงการอสังหาฯมากมาย
...การใช้จ่ายภารัฐ (“Government Net Spending”) สูงมาก บนโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากมาย
...การส่งออกสุทธิ (“eXport – iMport”) มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก และการอัดฉีดเงินทั่วโลก
การลดดอกเบี้ย ก็อาจมีส่วนที่จะกระตุ้น การลงทุน การกู้เงิน หรือ การลงทุนเพื่อเก็งกำไร ด้วยการกู้ เช่นการเก็งกำไร ที่ดิน บ้าน หรือ คอนโดฯ ขึ้นไปอีก มันก็อาจจะทำให้ฟองสบู่ใหญ่ขึ้นได้ จึงเป็นสิ่งที่ดีแล้วที่จะมีการคิดคำนึงอย่างรอบคอบ
ผมเคยนึกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ยิ่งมากย่อมยิ่งดี แต่ผมเรียนรู้ว่า “ไม่ใช่” เพราะร้อนแรงไป อาจทำให้ขาดเสาเข็ม ขาดวิศวกร คนเลิกทำงาน เก็งกำไรที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้น กิจการขนาดกลางหรือเล็ก อาจพัฒนายาก เพราะ ทรัพยกรต่างๆขาดแคลน จากเศรษฐกิจร้อนแรง โดยถูกกิจการใหญ่ได้ทรัพยากรไปพัฒนา หรือ ภาครัฐอาจแย่งทรัพยากรไป ที่เรียกว่าปรากฏการณ์ Crowding out ก็เป็นได้
“เติบโตมากๆ” จึงไม่ใช่ดีเสมอไป แต่ “เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” จึงสำคัญที่สุด
ผมเสนอความเห็นเหล่านี้ ย่อมไม่ชี้ว่า ทิศทางดอกเบี้ย ควรจะทรง หรือ จะลง (น่าจะไม่มีขึ้นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้) แต่ด้วยความเชื่อว่าทุกๆท่านหวังดีต่อบ้านเมือง แม้มีความเห็นต่าง ก็ขอให้หารือและรับฟังกัน และขอแสดงความเห็นด้วยกับจุดยืนเพื่อชาติว่า ธปท. มีเป้าหมายสำคัญสูงสุด คือ “เสถียรภาพ” ทางเศรษฐกิจด้านต่างๆโดยรวม และขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ว่า ธปท. คนดี ท่าน ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ด้วยครับ
