ชงรัฐเร่งสกัดบริษัทข้ามชาติแห่ขอ “สิทธิบัตรแบบไม่หมดอายุ” กีดกันคนไทยเข้าถึงยา
ผลวิจัยชี้บริษัทยาข้ามชาติแห่ขอ “สิทธิบัตรแบบไม่หมดอายุ” สร้างภาระงบ 8พันล้าน-จำกัดสิทธิคนไทยเข้าถึงยา ชงนายกฯ-กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งแนวทางสกัด-แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร
ดร.ภญ.อุษาวดี มาลีวงศ์ นักวิจัยของเครือข่ายวิจัยระบบยา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่าปัญหาสิทธิบัตรไม่มีคุณภาพส่งผลต่อภาระงบประมาณประเทศ และเป็นข้อจำกัดการเข้าถึงยาของประชาชนอย่างมาก ซึ่งจากงานวิจัยพบการขอรับสิทธิบัตรแบบ Evergreening Patent หรือ “สิทธิบัตรที่มีลักษณะแบบไม่มีที่สิ้นสุด” ที่จะทำให้ผู้ได้รับสิทธิบัตรนี้ได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่องเกิน 20 ปีหรือชั่วชีวิตของยานั้น มีมากถึงร้อยละ 84 จาก 2,188 คำขอ
“จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการบริโภคยาและตลาดยาของประเทศ เฉพาะแค่ 59 รายการยาที่มียอดการใช้สูงสุดที่นำมาวิเคราะห์ พบว่าเป็นคำขอรับสิทธิบัตรแบบนี้จะส่งผลให้มีการผูกขาดตลาด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 - 2571 คิดเป็นมูลค่าสะสม 8,477.7 ล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วคือแต่ปี 2539-2553 ไทยเสียโอกาสในการประหยัดงบประมาณถึง 1,177.6 ล้านบาท ซึ่งหากกรมทรัพย์สินทางปัญญานำแนวทางการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรฉบับใหม่มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ถึง 8,500 ล้านบาท”
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาการใช้ยาใน 3 โรคสำคัญที่มีค่าใช้จ่ายด้านยาสูง คือโรคเอดส์ มะเร็งเต้านม กระดูกพรุน พบว่าในสถานการณ์ที่มีการใช้ยาต้นแบบเพื่อการรักษาโรคดังกล่าวนั้น การใช้ยาในการรักษาโรคมะเร็งไม่มีความคุ้มค่าด้านต้นทุน-อรรถประโยชน์ เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก เนื่องจากยาต้นแบบมีราคาแพง อย่างไรก็ตามหากมีการทดแทนด้วยยาชื่อสามัญในผู้ป่วยทุกราย ค่าใช้จ่ายด้านยาลดลงและคุ้มค่าขึ้น และในเวลา 10 ปีของการรักษาทั้ง 3 โรคพบว่าการทดแทนยาต้นแบบด้วยยาชื่อสามัญทำให้ผู้ป่วยกระดูกพรุนเข้าถึงยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 66.9, เอดส์ร้อยละ 21.7 และมะเร็งร้อยละ 9.3
รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่างานวิจัยมีข้อเสนอเชิงนโยบายไปยังนายกรัฐมนตรี ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งประกาศใช้คู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ทางยา ดังเช่นที่ รัฐบาลอาร์เจนติน่าเพิ่งประกาศใช้ พ.ค. เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับสิทธิบัตรที่กีดกันการเข้าถึงยาซึ่งกำลังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ส่วนในระยะยาวรัฐบาลควรผลักดันแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตรให้กำหนดรายละเอียดขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น
“เฉพาะหน้าเสนอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งกำหนดหลักการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรด้านเภสัชภัณฑ์สำหรับการขอถือสิทธิการใช้ รวมถึงการใช้สารเคมีในการผลิตยาว่าเป็นข้อถือสิทธิที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 9(4) พ.ร.บ.สิทธิบัตร ทั้งนี้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ 1/2553 เพราะถือเป็นลักษณะคำขอที่มีมากและเป็นปัญหาที่รุนแรงที่สุด และเร่งปรับปรุงระบบการรายงานสถานะการดำเนินการในแต่ละคำขอรับสิทธิบัตรให้ถูกต้องทันสมัย และปรับระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรให้ง่ายต่อการสืบค้นใช้ประโยชน์ได้จริง และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ”
ทั้งนี้การจดสิทธิบัตรแบบไม่ยอมหมดอายุ กลายเป็นกลยุทธ์ของเจ้าของสิทธิบัตรในการปรับเปลี่ยนรายละเอียดสิ่งประดิษฐ์เพียงเล็กน้อยเพื่อขอรับความคุ้มครองต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความก้าวหน้าของนักประดิษฐ์ไทย และกีดกันยาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาด ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการเข้าถึงยา เพราะเมื่อใดมียาชื่อสามัญเข้าสู่ตลาด จะทำให้ยาต้นแบบต้องลดราคาลงเพื่อแข่งขัน กลยุทธ์ดังกล่าวถูกใช้อย่างมากในประเทศที่ระบบการให้สิทธิบัตรไม่มีคุณภาพ และกำลังทวีความรุนแรง
จนกระทั่งปี 2550 องค์การอนามัยโลกได้จัดทำเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ยาสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างชัดเจนในการพิจารณาว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นสมควรได้รับสิทธิบัตรหรือไม่ และในปี 2551 คณะผู้เชี่ยวชาญจาก WHO, UNDP, UNCTAD และ WTO แนะนำรัฐบาลไทยให้ปรับปรุง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ด้วยการรับหลักการของการพิจารณามาตรฐานการประดิษฐ์คิดค้นเพื่อแก้ปัญหานี้ที่ประเทศอินเดียถือปฏิบัติ .
ที่มาภาพ : http://www.lasallechote.ac.th/weblink/oryo/show_updatenews.php?sendnum=96
