กทม. ในฝัน ... คือ กทม. เมือง “สวรรค์" และ ป้องกันไม่ให้กลายเป็น “นรก”

เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์รายการทีวีของ กรุงเทพธุรกิจทีวี ในหัวข้อ “กทม. ในฝัน” และ “ผู้ว่า กทม. ในฝัน” ในความเห็นของผม และ วิทยากรท่านอื่นๆ เป็นอย่างไร?
ผมเองขอตั้งขอสังเกตว่า คำถามเช่นนี้ “ชี้นำหรือไม่ ?” ... “ชวนให้ซื้อฝันเกินไปหรือไม่ ?” “ชวนให้เปิดใจ รับการขายฝันเกินไปหรือไม่ ?” หรือ คำถามประเภทว่า “นโยบายผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ : เป๊ะเวอร์โดนใจวัยรุ่นหรือไม่ ?” เป็นคำถามชวนหวัง “ความฝัน” เหมือนๆ กัน
จริงๆ น่าจะตั้งคำถามว่า “ปัญหา กทม. ในสายตาของชาว กทม. ที่สำคัญ อยู่ที่ไหน ?” “ผู้ว่า กทม. ที่จะแก้ปัญหาให้ชาว กทม.ได้ควรมีคุณสมบัติอย่างไร ?” ประมาณนี้ ก็อาจจะได้แนวคำตอบอีกแบบหนึ่ง
…เพราะการบริหารบ้านเมือง บริหาร กทม. ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เรื่อง “ขายฝัน”
...แต่เป็นเรื่องจริง ที่ซับซ้อน และต้องอาศัยความ “รู้จริง” มากมาย
ผมได้ให้ความเห็นถึง “ความฝัน” ของผมดังนี้
1. กทม. ในฝัน คือ เมือง “สวรรค์” ผมเป็นคริสเตียน ในปฐมกาลที่พระเจ้าทรงสร้างโลกใน 6 วัน พระองค์ทรงเห็นว่า “ดีนัก” พระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง และให้มนุษย์ครอบครองทุกๆสิ่ง เว้นแต่ “ผลไม้ต้องห้าม”
ถ้าอาดัม กับเอวาเชื่อในพระเจ้าก็จะรู้สึกพอเพียง มีความสุข และเห็นว่า หลายสิ่งหลายอย่างนั้น “ดีนัก”
แต่อาดัมกับเอวา กลับเชื่อใน ซาตาน มันไม่ได้สร้างอะไร มันไม่ได้ให้อะไร แค่เพียงถามว่า ที่พระเจ้าทรงรัก และมอบให้นั้น “พอแล้วหรือ?” เท่านั้นก็ได้ครองใจ อาดัมกับเอวาได้สำเร็จ
สำหรับผม กทม. ทุกวันนี้ก็เป็นดังเมืองสวรรค์แล้ว ในหลายยุคที่ทำงานกันมา ถนนพระราม 4 ใกล้บ้าน ก็เริ่มมีต้นไม้กลางถนน บ้านผมเดิมอยู่แถวๆถนนศรีนครินทร์ น้ำท่วมเป็นประจำ เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
สมัยเด็กๆ ผมก็เคยอยู่แถวๆฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงหนึ่งน้ำท่วมเช้ารอบเย็นรอบ เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
ยิ่งได้ทราบว่า กทม. เป็นเมืองหลวงน่าท่องเที่ยวสูงสุดของโลก มาติดต่อกันถึง 3 ปี ก็ยิ่งรู้สึกว่า กทม. เรานั้น “ดีนัก” และก็ถือเป็นดังสวรรค์ชั้นเลิศอยู่แล้ว
ผู้ว่า กทม. ที่ต้องการ คือผู้ว่า กทม. ที่ “รู้จริง” มีประสบการณ์ ทำงานหนัก รัก กทม. สุดหัวใจ
นึกถึงภาพของปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ได้ดี เป็นดังสึนามิน้ำจืด จนนิคมอุตสาหกรรมต้องปิดไป ถึง 7 แห่ง ซึ่งหลายคนนับถอยหลัง เชื่อว่า กทม. จมน้ำแน่นอน หลายคน ถึงกับหาที่ทำงานสำรองต่างจังหวัด โรงแรมแถวชลบุรี และ พัทยา เต็มกันมากมายเพื่อรองรับคนย้ายถิ่นฐาน
แต่ผมว่า กทม. ได้ทำงานที่น่ายกย่อง โดยประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าอย่างดี ลงมือแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ ผมว่าที่ได้ผลที่สุด คือ การเสริมคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา จากประมาณ 2.4 เมตร เป็น 3.0 เมตร ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นแม่น้ำใหญ่ ความดันน้ำย่อมสูง คันกั้นน้ำที่กั้นสูง ย่อมทำให้ความดันน้ำสูง และคันกั้นน้ำพังลงมาได้ เหมือนอย่างที่พังกันตามนิคมฯ และพื้นที่อีกหลายแห่งที่ผ่านมา
และเราได้เห็น ผู้ว่า กทม. อยู่กับหน้างาน กล่าวอย่างจริงใจ และน่าร่วมมือว่า ต้องรีบผลิตถุงทรายเพิ่ม จะได้แก้ปัญหาได้ทันการ ซึ่งคน กทม. ก็ให้ความร่วมมืออย่างดี อย่างน้อย ก็เพราะเห็นว่า ผู้ว่าฯลุยงานเหนื่อยแทบขาดใจแค่ไหน ก็ยังสู้ทน การขยายคันนั้น มีส่วนทำให้น้ำระบายจากด้านเหนือลงอ่าวไทยได้มากขึ้น และเร็วขึ้น ทันการที่จะทำให้ กทม. ชั้นใน น้ำไม่ท่วม โครงการตามพระราชดำริอย่าง คลองลัดโพธิ์ ก็ได้ช่วยเร่งน้ำลงอ่าวไทยได้อย่างรวดเร็ว ไม่ท่วมเหมือนอดีตที่แทบจะท่วมทุกๆปี ระบบการระบายน้ำ ปิดทองหลังพระอย่าง อุโมงค์ ยักษ์ และ ระบบ BIG BAG มาช่วย “บรรเทา” ให้น้ำลงมาช้าหน่อย ก็ทำงานได้ดี ทำให้ได้ช่วยพื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้มาก
และ เราได้เห็นปัญหาที่ผู้เชี่ยวชาญน้ำของรัฐบาล ใส่ร้ายผู้ว่า กทม. ในกรณีแก้ปัญหาน้ำท่วมแถวๆ ศรีนครินทร์ (แถวๆบ้านเดิมของผม) ขุดรื้อถุงทรายที่อุดท่อแถวๆศรีนครินทร์ และบอกว่า “น้ำจะไม่ท่วมได้ไง แทนที่ กทม.จะรอกท่อ กลับเอาถุงทรายเข้าไปอุดท่อ” ฟังดูน่าคล้อยตาม แต่ที่จริง พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ต่ำ ถ้าเราสูบน้ำท่วมออก น้ำก็จะไหลกลับเข้ามา ไม่เพียงไหลมาทางข้างบน ยังจะไหลลงมาทางท่อน้ำ จึงต้องอุดไว้
เป็นปัญหาที่ทำให้เมื่อปีก่อนหน้านั้น รัฐบาลนึกว่า จะกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมได้ โดยส่งสัญญาณ “เอาอยู่ๆ” ด้วยมีคันกั้นน้ำข้างบนสูงพอ แต่น้ำมีพลังมาก และมุดได้ทุกที่ ที่สุดแล้วก็ท่วมนิคมฯจมไปถึง 7 แห่ง
และสิ่งที่ กทม. ทำนั้น ก็ถูกต้องแล้ว และได้ผลจริง
นี่ถ้าฟากผู้เชี่ยวชาญน้ำท่วม “ไม่รู้” จริงๆ หรือ “แกล้งไม่รู้” เป็นผู้ดูแล กทม. เราก็ไม่แน่ใจว่า จะแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่ ?
2. กทม. ในฝัน คือ ป้องกันอย่าให้เป็น “นรก” ในฐานะคน กทม. ถ้าจะถามว่าอยากเห็น กทม. สงบสุขอย่างไร ? ก็อยากให้ไม่กลับไปเป็นดังเมือง “นรก” อย่างที่เกิดขึ้นมาในปี 2554
เราไม่เคยเห็นสภาพอย่างนี้ คนไทยยุยงให้น้อยใจ รู้สึกต่ำต้อย (ทั้งๆที่คนไทยให้เกียรติกันอยู่แล้ว) โกรธแค้น เข้ามาชุมนุมใน กทม. เป็นการจับคน กทม. แถบ ผ่านฟ้า ราชประสงค์ สีลม เป็นตัวประกัน บุกโรงพยาบาล เผายางรมควันโรงพยาบาล ล้อมพื้นที่ทำงานคน กทม. ด้วยไม่ไผ่แหลม และยางรถยนต์พร้อมเผา
ชีวิตคน กทม. ช่วงนั้น รู้สึกเหมือนถูกรุกราน รู้สึกเหมือนถูกแบ่งแผ่นดินแม่ และนำพาพี่น้องคนไทยกันเอง เข้ามาข่มเหงคนไทยกันเอง กว่าจะฝ่าด่านคนเสื้อแดงเข้ามา ต้องถูกตรวจกระเป๋ามากมาย
วาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” สร้างความโกรธแค้นในใจ สร้างความแบ่งแยก
วาทกรรม “เวลาตกใจ ผมจะไม่วิ่งไปใกล้ๆ ผงซักฟอก สบู่ แต่จะวิ่งไปใกล้ๆกระเป๋าแพงๆ” อยู่สลับกับเรื่อง “เราถูกข่มเหง เรามันถูกกดว่าเป็นไพร่” ช่างเป็นการสร้างความแตกแยก ความโกรธเกลียดที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับชาวกทม. ที่นั่งทำงานในออฟฟิซแถวๆนั้นจริงๆ
เวลาสงบๆอย่างนี้ น่าจะเอาพรรคการเมืองทุกพรรค แสดงจุดยืนให้ชัดว่า ปัญหา “อำมาตย์-ไพร่” ที่สังคมเอาเปรียบกันยังมีอยู่หรือไม่?
...ถ้าพรรคใดบอกว่า “ยังมี” ก็จะได้ให้คนไทย โดยเฉพาะ กทม. ได้รับรู้ว่าว่า พรรคนั้นยังพร้อมใช้เรื่อง “อำมาตย์-ไพร่” มาทำให้สังคมแตกแยกต่อไป
...ถ้าทุกพรรคบอกว่า “ไม่มีแล้ว” ก็จะได้หวังว่า ไม่มีใครเอาเรื่องนี้ มาสร้างความแตกแยกในมวลหมู่พี่น้องไทยกันอีก ความรู้สึกเป็นนรกนั้น ไม่เชิงเป็นด้านกายภาพ แต่เป็นทางด้านจิตใจ ที่พี่น้องไทยต้องขัดเคืองกันมากกว่า เราจึงควร “รู้รักสามัคคี” เพื่อทดแทนพระคุณแผ่นดินแม่ อย่าให้ใครมาทำให้พี่น้องไทยเราแตกแยกอีกเลย
ชาว กทม. แต่ละคน คงมีความคิดที่หลากหลาย วันที่ 3 มีนาคม อย่าลืมเลือกผู้ว่าในฝันของท่านทุกคนนะครับ
สัปดาห์ต่อไป ผมถึงจะมาต่อด้วยการถอดคำเทศนาของผมในหัวข้อ “ภาษาศาสตร์ ภาษารัก” ครับ
ขอบคุณภาพจาก kapook.com
