ไม่ต้องกลัวไฟดับ? ไทยมี “พลังงานทดแทน” เพียบ ทั้งลม แดด และขี้หมู?!!

ในขณะที่รัฐบาล โดยนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ออกมาเตือนให้คนไทย เตรียมรับมือกับวิกฤตขาดแคลนไฟฟ้า เนื่องจากพม่าจะหยุดจ่ายก๊าซที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้กับไทย ช่วงต้นเดือน เม.ย.2556 ซึ่งอาจทำให้ไม่มีไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการ จนอาจทำให้คนไทยหลายพื้นที่ ต้องเจอกับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ !
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2556 ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานทดแทน ที่มาจากกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร ถึง 6 กระทู้ซ้อนๆ กัน โดยผู้ถามคนเดียวกัน คือนายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ส่วนผู้ตอบก็เป็นคนเดียว คือนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ซึ่งตอบทุกกระทู้แทนนายกฯ
กระทู้แรก นายนิยมถามเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากแอลกอฮอล์ หรือมวลสารอื่นที่เป็นแอลกอฮอล์
นายกิตติรัตน์ตอบว่า จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ปัจจุบันรัฐบาลส่งเสริมให้มีการใช้เอทานอลเป็นพลังงานทดแทนในภาคขนส่งในรูปแบบน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (เอทานอลเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการหมักพืชเพื่อเปลี่ยนแป้งจากพืชเป็นน้ำตาลแล้วเปลี่ยนน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ เมื่อทำให้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% โดยการกลั่น จะเรียกว่าเอทานอล)
“แต่การผลิตไฟฟ้าจากแอลกอฮอล์ หรือมวลสารอื่นที่เป็นแอลกอฮอล์ รัฐบาลยังไม่มีการส่งเสริมแต่อย่างใด และการใช้พลังงานจากแอลกอฮอล์ยังคงเป็นการใช้ในภาคขนส่งแต่เพียงอย่างเดียว” นายกิตติรัตน์กล่าว
กระทู้ที่ 2 นายนิยมถามเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากมูลสัตว์
นายกิตติรัตน์ตอบว่า จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน มีการจัดตั้งโครงการระบบก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ เช่น สุกร จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ผ่านสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2538-2554 สามารถผลิตก๊าซชีวภาพที่ใช้ประโยชน์ได้ 153 ล้าน ลบ.ม./ปี จากจำนวนสุกร 4.5 ล้านตัว ทดแทนกระแสไฟฟ้าได้ 76.5 ล้าน kWh/ปี หรือเท่ากับ 8.73 MW และจากการสำรวจจำนวนสุกรล่าสุด เมื่อปี 2555 มีจำนวนสุกรที่อยู่ในฟาร์มที่จดทะเบียนกับกรมปศุสัตว์รวม 2.9 ล้านตัว มีศักยภาพในการผลิตก๊าซชีวภาพ 111.2 ล้าน ลบ.ม./ปี และมีศักยภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้า 32.65 MW
ทั้งนี้ ความสามารถในการผลิตไฟฟ้าจากสุกร พบว่า สุกร 8 ตัว จะผลิตน้ำเสียประมาณ 0.2 ลบ.ม./วัน และผลิตก๊าซชีวภาพได้ 1 ลบ.ม./วัน โดยก๊าซชีวภาพ 1 ลบ.ม. จะผลิตไฟฟ้าได้ 1.8 หน่วย
กระทู้ที่ 3 นายนิยมถามเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงและก๊าซ
นายกิตติรัตน์ ตอบเหมือนกระทู้ที่สอง โดยอ้างว่า คำนิยามของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงและก๊าซ ก็คือการผลิตไฟฟ้าที่ได้จากก๊าซชีวภาพ
กระทู้ที่ 4 นายนิยมถามเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสดงอาทิตย์
นายกิตติรัตน์ตอบว่า จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน มีการสรุปศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ พบว่า บริเวณที่มีศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์สูง ได้แผ่นเป็นบริเวณกว้างทางตอนล่างของภาคอีสาน โดยครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี และตอนบนของภาคอีสาน ที่ จ.อุดรธานี รวมถึงบานส่วนของภาคกลางที่ จ.สุพรรณบุรี ชัยนาท อยุธยาและลพบุรี พื้นที่ดังกล่าวได้รับรังสีรวมรายวันเฉลี่ยต่อปี 5.2-5.5 kWh/m2 - day โดยคิดเป็นพื้นที่ร้อยละ 14.3% ของทั้งประเทศ แต่เมื่อเฉลี่ยกับค่าความเข้มรังสีรวมรายวันปรากฏว่า ประเทศไทยมีค่าเท่ากับ 5.0 kWh/m2 – day ซึ่งจากศักยภาพเฉลี่ยดังกล่าว หากมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์พลังงานแสดงอาทิตย์ 1 MW จะใช้พื้นที่ประมาณ 20 ไร่ โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.4 ล้านหน่วย/MW/ปี
กระทู้ที่ 5 นายนิยมถามเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลม
นายกิตติรัตน์ตอบว่า จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน มีการสรุปศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยจัดทำแผนที่พลังงานลม ตั้งแต่ปี 2553 พบว่ามีบริเวณที่มีศักยภาพพลังงานลมเพียง 1,600 MW
แต่ปัจจุบันมีผู้ยื่นข้อเสนอโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม รวมกำลังผลิตติดตั้งทั้งสิ้น 2,185 MW โดยกระจุกตัวอยู่ใน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาคอีสาน ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชัยภูมิ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์ และกลุ่มภาคใต้ ใน 2 จังหวัด ได้แก่ จ.สงขลาและนครศรีธรรมราช
กระทู้ที่ 6 นายนิยมถามเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานในอากาศ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
นายกิตติรัตน์ตอบว่า จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน พลังงานทดแทน คือพลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถแบ่งตามแหล่งที่ได้มาเป็น 2 ประเภท คือแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป อาทิ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินน้ำมัน และทรายน้ำมัน เป็นต้น และแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล และน้ำ เป็นต้น
“ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดคำนิยมของพลังงานในอากาศ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ว่าเป็นพลังงานทดแทน จึงยังไม่เคยมีการศึกษาศักยภาพ และความเป็นไปได้ในการนำพลังงานจากแหล่งดังกล่าวมาใช้ประโยชน์” นายกิตติรัตน์กล่าว
เมื่อดูแหล่งพลังงานทดแทน จากข้อมูลที่รัฐบาลให้กับสภาผู้แทนราษฎร น่าสนใจว่า ในอนาคต แหล่งพลังงานทดแทนเหล่านี้ จะก้าวขึ้นมามีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาของคนไทย ยามเกิดวิกฤตพลังงานได้หรือไม่ !!!
