เปิดหนังสือ สนง.ศาล จับพิรุธ “ธาริต” อ้างสืบปากคำ “สุวิชชัย” ที่ยูเออีแล้ว
เปิดหนังสือสำนักงานศาล ยธ. จับพิรุธ “อธิบดีดีเอสไอ” อ้างสืบปากคำ “สุวิชชัย” พยานคดีอัลรูไวลี ที่ยูเออีเสร็จแล้ว ทั้งที่วันเดียวกัน อสส.เพิ่งได้รับหนังสือจากศาล 
แหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า จากกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายสำนัก เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2556 อ้างว่า การสืบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก หรือนายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี พยานโจทก์ในคดีลักพาตัวนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ได้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต่างรู้สึกงุนงง เนื่องจากสำนักงานศาลยุติธรรมเพิ่งส่งหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อขอให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ในการส่งประเด็นไปสืบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่ยูเออี โดยหนังดังกล่าว ลงวันที่ 22 ก.พ.2556 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นายธาริตอ้างว่าการสืบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัย เสร็จสิ้นแล้ว
โดยแหล่งข่าวระบุว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศย 016/9146 ถึงสำนักงาน อสส. เรื่อง ศาลอาญาขอประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา ลงวันที่ 22 ก.พ.2556
โดยหนังสือดังกล่าวมีใจความว่า “สำนักงานศาลยุติธรรมขอความร่วมมือสำนักงาน อสส.ประสานความร่วมมือระหว่างระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา เกี่ยวกับการสืบพยานประเด็นโจทก์ คือ พ.ต.ท.สุวิชชัย ในคดีอาญา คดีหมายเลขดำที่ อ.119/2553 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงาน อสส. โจทก์ กับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม กับพวกรวม 5 คน จำเลย ซึ่งสำนักงาน อสส.แจ้งความคืบหน้าว่าได้ส่งเรื่องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ไปยังทางการกัมพูชาและซาอุฯ เพื่อดำเนินการต่อไปแล้วนั้น
“บัดนี้ ศาลอาญาได้มีหนังสือแจ้งว่า โจทก์ได้แถลงว่าพยานดังกล่าวมิได้พำนักอยู่ในซาอุฯ แล้ว แต่ได้เดินทางไปยังยูเออี จึงขอให้ส่งประเด็นไปสืบพยานปากดังกล่าวที่ยูเออีแทน โดยขอใช้เอกสารชุดเดิมซึ่งยังอยู่ที่สำนักงาน อสส.
“จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ต่อไป และหากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องดีงกล่าวประการใด ขอได้แจ้งให้สำนักงานศาลยุติธรรมทราบในโอกาสแรกด้วย จักขอบคุณยิ่ง”
ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวลงนามโดยนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ปฎิบัติราชการแทนเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

ก่อนหน้านี้ นายโกวิท ศรีไพโรจน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญฝ่ายคดีพิเศษ 1 ในฐานะพนักงายอัยการโจทก์คดีอัลรูไวลี ได้อธิบายขั้นตอนการส่งประเด็นไปสืบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัย ในยูเออีกับ “สำนักข่าวอิศรา” ว่าจะต้องผ่านหน่วยงานของทั้งไทยและยูเออี อย่างน้อย 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.สำนักงานศาลยุติธรรม 2.สำนักงานอัยการสูงสุด 3.กรมการกงสุล 4.สถานทูตไทยในยูเออี 5.กระทรวงยุติธรรมยูเออี และ 6.ศาลยูเออี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญามีคำสั่งให้ส่งประเด็นไปสืบพยาน พ.ต.ท.สุวิชชัยที่ยูเออีตามที่ฝ่ายโจทก์ร้องขอ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 ขณะที่ พล.ต.ท.สมคิด อ้างว่า มีกระบวนการนำตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยให้พ้นจากเขตอำนาจศาลไทย ซึ่งไม่เป็นธรรมกับจำเลยในการต่อสู้คดี โดยอัยการและดีเอสไอร่วมมือกับนำตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยออกนอกประเทศ ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.สุวิชชัยเป็นจำเลยในคดีฆ่าผู้อื่นที่ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต และศาล จ.มีนบุรีออกหมายจับพร้อมกับมีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่นายธาริต อ้างว่า พ.ต.ท.สุวิชชัยได้รับการคุ้มครองตามมาตรการพิเศษ ของกฎหมายคุ้มครองพยาน
