ปัญหาวุ่นๆ ของ (ว่าที่) อดีตสามี-ภรรยา จากการ “หย่าโดยคำพิพากษา”

(ภาพจาก divorce2554.blogspot.com)
เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) www.krisdika.go.th ได้เผยแพร่ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวภายในครอบครัวที่ความรักอาจไม่สุขสมหวัง ในความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามเรื่องเสร็จที่ 191/2556 เรื่อง การจดทะเบียนหย่าโดยคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โดยกรมการปกครองได้มีหนังสือถึง สคก. สรุปความได้ว่า ด้วย กทม. โดยสำนักงานเขตบึงกุ่มหารือกรณี “นางจรีรัตน์ เรืองศรี” มอบอำนาจให้ผู้อื่นไปจดทะเยียนหย่ากับ “นายสหเทพ เรืองศรี” ตามคำพิพากษาของศาล จ.ชุมพร แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ซึ่งได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยมีการระบุเงื่อนไขว่าให้ไปจดทะเบียนหย่าให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทำสัญญา หากฝ่ายใดเพิกเฉยขอถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
แต่ กทม.มีความเห็นว่า คำพิพากษาตามสัญญาณประประนีประนอมยอมความให้ “นางจรีรัตน์” กับ “นายสหเทพ” ตกลงหย่าขาดจากกัน มิใช่คำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลทั้ง 2 หย่าขาดจากกันตามมาตรา 1531 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นนางจรีรัตน์จึงไม่อาจจดทะเบียนหย่าฝ่ายเดียวได้
นอกจากนี้ กทม.ยังเห็นว่า การมอบให้บุคคลอื่นมาจดทะเบียนย่าแทน ยังไม่มารถทำได้ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2541 ที่กำหนดว่าผู้ประสงค์จะจดทะเบียนหย่าจะต้องมาดำเนินการด้วยตัวเอง
กรมการปกครอง ยังมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ในกรณีนี้ศาลยังไม่ได้พิพากษาให้บุคคลทั้ง 2 หย่าขาดจากกัน จึงถือว่าการสมรสระหว่างบุคคลทั้ง 2 ยังไม่สิ้นสุดลงตามมาตรา 1514 มาตรา 1516 และมาตรา 1531 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การจดทะเบียนหย่าฝ่ายเดียวจึงไม่สามารถทำได้ จะต้องได้รับความยินยอมซึ่งผู้ร้องจะต้องไปทั้ง 2 ฝ่าย และจดทะเบียนครอบครัวทุกประเภท รวมถึงการจดทะเบียนหย่า ผู้ร้องต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง จะมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปดำเนินการแทนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) มีความเห็นว่า ทั้ง “นางจรีรัตน์” และ “นายสหเทพ” ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าประเด็นแห่งคดีและข้อความในสัญญาไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาด โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
“จึงถือว่าคำพิพากษาในคดีดังกล่าวถีงที่สุดแล้ว ย่อมถือได้ว่าการหย่ากรณีนี้เป็นการหย่อโดยคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ”
ส่วนข้อความในสัญญาที่ระบุว่าให้ไปจดทะเบียนหย่าให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วันนับแต่วันทำสัญญานี้ เป็นเพียงการตกลงให้ไปจดทะเบียนการหย่อซึ่งมีผลต่อคำพิพากษาอยู่แล้วเท่านั้น เมื่อกรณีดังกล่าวเป็นการหย่าโดยคำพิพากษาตามมาตรา 1531 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ดังนั้น “นางจรีรัตน์” จึงสามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นนำสำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองว่าถูกต้องแล้วยื่นต่อนายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียนบันทึกการหย่าโดยคำพิพากษาไว้ในทะเบียนตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 ได้
