คำ ผกา วิพากษ์มหานครกรุงเทพฯ “ขอฟุตบาทดี ๆ ก่อนมีมิวเซียมหรือห้องสมุด”
"ดิฉันไม่มีรถส่วนตัว ก็อยากได้ทางเท้าดี ๆ เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ก่อน กรุงเทพฯสามารถทำทางเท้าที่เดินแล้วไม่หกล้มได้มั้ย...เราทะเยอทะยานไปหรือเปล่า ที่อยากได้มิวเซียมหรือห้องสมุด เพราะว่าแค่เรื่องสุขาภิบาลขั้นพื้นฐานเรายังไม่สามารถจะทำได้..."
(ภาพประกอบบทความจาก http://bit.ly/ZmoYYl)
กรุงเทพฯทุกวันนี้น่าอยู่ไหม? ถ้าไม่น่าอยู่แล้วควรจะทำอย่างไรให้น่าอยู่? หรือถ้าน่าอยู่ แล้วกรุงเทพฯ น่าอยู่สำหรับใครกันแน่?
เหล่านี้คือคำถามที่ผุดขึ้นจากการได้ฟังนักวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่าง "ลักขณา ปันวิชัย" หรือ "คำ ผกา" พูดถึงประเด็น "อนาคตมหานครกรุงเทพฯ กับปริมณฑลสาธารณะและวัฒนธรรมเมือง" ในเวทีสัมมนาวิชาการอนาคตมหานครกรุงเทพฯ จัดโดย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, คณะกรรมการด้านการสื่อสารทางการเมืองของรัฐสภา, คณะอนุกรรมการด้านการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง กฎหมาย และสังคม วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มธ. ณ อาคารอเนกประสงค์ ชั้น 3 มธ.ท่าพระจันทร์
คำ ผกา ก่อนหน้านี้เคยอาศัยอยู่เมืองเชียงใหม่ แล้วเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครกว่า 2 ปีแล้วลองมาสำรวจความคิดของเธอคนนี้ดูกันว่า "กรุงเทพฯ" ในสายตาของเธอเป็นอย่างไร
“สำนึกสาธารณะ” กับความเป็น “มนุษย์ถ้ำ” ของสังคมไทย
ดิฉันขอเริ่มด้วยประเด็นคำถามว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองกรุงเทพฯยังไม่พัฒนาไปมากเท่าที่ควร เพราะสังคมไทยยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” หรือเปล่า?
สำหรับเมืองไทย คอนเซ็ปท์ที่ว่า “ทันสมัย แต่ยังไม่พัฒนา” ยังใช้อธิบายสังคมไทยได้อยู่ ดิฉันคิดว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้สิ่งที่ปรับปรุงสำนึกสาธารณะของคนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯได้มากที่สุด คือการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที เป็นครั้งแรก ๆ ที่คนไทยเรียนรู้ที่จะใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับคนอื่นอย่างมีระเบียบ เป็นการพิสูจน์ว่าสำนึกสาธารณะแบบนี้ไม่ได้อยู่ในยีน ไม่ได้เป็นกรรมพันธุ์ หรือวัฒนธรรมของชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่การเกิดขึ้นของลักษณะที่จำเพาะเจาะจงแบบใดแบบหนึ่ง มันจะมากำกับพฤติกรรมของมนุษย์ได้ เช่น การต้องเข้าคิวซื้อตั๋ว หรือเข้าคิวรอเข้าไปในรถไฟฟ้า
พฤติกรรมเหล่านี้ถูกกำกับด้วยลักษณะของ “พื้นที่” เพราะฉะนั้นพื้นที่จึงมีอำนาจเหนือคน
พอไปดูพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ดิฉันพบว่าคนไทยยังใช้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความทันสมัยด้วยสำนึกแบบมนุษย์ถ้ำ คือยังใช้วัฒนธรรมแบบชนเผ่าของมนุษย์ก่อนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ (modern) เวลาไปใช้พื้นที่สาธารณะเหล่านั้นจึงมักไม่นึกถึงหลักหรือกฎเกณฑ์ตามกฎหมาย แต่จะใช้ความพึงพอใจหรือทำอะไรตามอำเภอใจ เนื่องจากยังไม่ได้พัฒนาสำนึกของเราให้เข้ากับสำนึกสมัยใหม่ที่มาพร้อมกับความเป็นประชาธิปไตย
คนไทยมักยึดถืออำนาจจากชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียงมากกว่าที่จะเคารพกฎเกณฑ์ส่วนกลาง เช่น ในซอยเล็กซอยน้อยต่าง ๆ จะถูกคนในย่านนั้น ๆ จัดการถนนกันเอง โดยปิดถนนสองเลนให้เหลือเลนเดียวได้ เอาหนึ่งเลนทำเป็นที่จอดรถของบ้านทุกหลัง โดยไม่แคร์ว่ากฎหมายของประเทศจะเป็นอย่างไร หากมีการจ่ายส่วยให้ตำรวจ ๆ ก็เหมือนเข้ามาอยู่ในกฎเกณฑ์ของชนเผ่านี้
หรืออย่างวัฒนธรรมการใช้ที่อาบน้ำสาธารณะของคนญี่ปุ่น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ละเอียดยิบย่อย ในการให้คนนับร้อยมาแก้ผ้าอาบน้ำในบ่อเดียวกัน นับตั้งแต่ต้องไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนลงไปแช่ และต้องเก็บเศษผมหรือขนทุกชนิดไม่ให้ทิ้งอยู่บนพื้น การดูแลพื้นที่เหล่านี้จึงเป็นการดูแลบนฐานของความใส่ใจในการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับคนอื่น นี่คือสำนึกสาธารณะที่มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าความสะดวกสบายส่วนตัว
“ดิฉันนึกไม่ออกเลยว่า ถ้ามาเปิดโรงอาบน้ำสาธารณะที่เมืองไทย มันจะอีรุงตุงนังสักแค่ไหน แล้วจะรักษาระเบียบการแก้ผ้าอาบน้ำร่วมกันอย่างเคารพพื้นที่ว่างระหว่างร่างเปลือยร่างหนึ่งกับอีกร่างที่อยู่ใกล้ ๆ ได้มั้ย เพราะสำนึกนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นเลยในเมืองไทย”
กรุงเทพฯต้องการพื้นที่่ ที่่คนทุกคนได้ปะทะสังสรรค์
พื้นที่ของเมืองที่จะน่าอยู่ ต้องประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ พื้นที่สาธารณะ (public space) และ ความยุติธรรมในสังคม (social justce)
public space ต้องมาคู่กับ public sphere หมายความว่า พื้นที่สาธารณะ คือ พื้นที่เปิดสำหรับคนทุกคนในสังคม ที่จะอยู่ร่วมกันได้ ทั้งในเชิงกายภาพ และมีพื้นที่สำหรับการดีเบทหรือมี conversation มี freedom of speech ที่จะปะทะสังสรรค์กัน สองอย่างนี้อยู่ด้วยกันจึงจะทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคม
พอมาดูสภาพของกรุงเทพฯจริง ๆ เราจะเห็นว่า กรุงเทพฯเหมือนเมืองที่มีหลายประเทศอยู่ด้วยกัน สมมติว่าในซอย ๆ หนึ่งย่านสุขุมวิท มีตึกสูงเป็นคอนโดมิเนียมราคาห้องละหลายล้าน ลงจากคอนโดเราก็จะเจอรถเข็นขายส้มตำไก่ย่าง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แล้วถามว่าคนที่ขายหมูปิ้งไม้ละห้าบาทกับคนที่เดินไปกินข้าวในสยามเคมปินสกี้ วัน ๆ หนึ่งเขาจะมีโอกาสปะทะสังสรรค์กันแค่ไหน
ในประเทศตะวันตกที่เจริญแล้วมีป่าอยู่กลางเมืองทั้งนั้น เป็นป่าที่เป็นพื้นที่สาธารณะ เป็นที่ที่คนทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงประโยชน์ใช้สอยโดยไม่มีการกีดกัน
ถ้าเราอยากได้เมืองที่มีความยุติธรรมทางสังคม นอกจากจะต้องมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกแล้ว เราต้องมีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนได้มาปะทะสังสรรค์ทางสังคมด้วยกัน
ดิฉันคิดว่ากรุงเทพฯไม่เคยมีพื้นที่เหล่านี้ ดิฉันไม่คิดว่าแม่ค้าขายส้มตำหน้ามิวเซียมสยาม จะได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ในมิวเซียมสยาม หรือแม้กระทั่งไม่แน่ใจว่ามิวเซียมสยามจะอนุญาตให้แม่ค้าส้มตำไปเข็นรถขายอยู่หน้ามิวเซียมสยามหรือเปล่า
กรุงเทพฯต้องน่าอยู่สำหรับ “ใคร” บ้าง?
กรุงเทพฯมีพื้นที่สาธารณะที่เป็นที่ที่น่าอยู่สำหรับ “คนทุกคน” จริง ๆ แล้วหรือยัง เราจะตอบคำถามนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเราจินตนาการเห็นได้ว่า คนในกรุงเทพฯ มีใครบ้าง?
เราเคยเห็นคนกรุงเทพฯทุกคนหรือเราจินตนาการได้มั้ยว่าคนกรุงเทพฯมีใครบ้าง เรารู้มั้ยว่าหมอนวดย่านรัชดามีกี่เผ่า มาจากประเทศอะไรบ้าง ลูกค้าที่มาเที่ยวหมอนวดย่านรัชดามีใครบ้าง รถเข็นขายโรตีเป็นคนชาติใดพูดภาษาอะไรบ้าง แล้วเมืองของเราเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับคนเหล่านี้หรือเปล่า
เรามีแรงงานพม่า แรงงานลาวอยู่กี่คน ยังไม่นับการอพยพเข้ามาของแรงงานคนไทยด้วยกันเองอีกกี่คน แล้วในท่ามกลางคนกรุงเทพฯด้วยกันเอง มีกี่ชนชั้น กี่วรรณะ มีกี่เพศด้วย
เวลาเราพูดถึงความน่าอยู่ของกรุงเทพฯ ไม่เคยเห็นมีผู้สมัครผู้ว่า หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนไหนพูดถึงโสเภณีที่พัฒน์พงศ์เลย แล้วคนเหล่านั้นไม่ใช่คนกรุงเทพฯหรือ แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพัฒน์พงศ์ ไม่ใช่ประชากรจำนวนหนึ่งที่อยู่ในกรุงเทพฯหรือ ถ้าเราไม่พูดถึงคนเหล่านี้ แล้วเราจะพูดถึง public space, public sphere ที่นำมาสู่ social justice ได้อย่างไร
การพัฒนาเมืองของเราคืออะไร เราบอกว่าเรามีสวนสาธารณะ อยากมีห้องสมุดต่าง ๆ มากมาย แต่การจะสร้างวัตถุอย่างหนึ่งขึ้นในเมือง ควรจะผ่านฉันทามติของเสียงข้างมากของคนในสังคม แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าคนกรุงเทพฯ ทุกหน้าตาที่พูดมาทั้งหมดเขาต้องการห้องสมุดมั้ย
อย่างดิฉันไม่มีรถส่วนตัว ก็อยากได้ทางเท้าดี ๆ เอาแค่เรื่องง่าย ๆ ก่อน กรุงเทพฯสามารถทำทางเท้าที่เดินแล้วไม่หกล้มได้มั้ย ดิฉันใส่รองเท้าส้นสูงเดินบนฟุตบาทกรุงเทพฯไม่ได้เลย แล้วทุกฟุตบาทมักจะมีท่อระบายน้ำที่ระบายน้ำไม่ได้ คือดิฉันกำลังคิดว่า เราทะเยอทะยานไปหรือเปล่า ที่อยากได้มิวเซียมหรือห้องสมุด เพราะว่าแค่เรื่องสุขาภิบาลขั้นพื้นฐานเรายังไม่สามารถจะทำได้ ไม่ได้บอกว่ามิวเซียมหรือห้องสมุดไม่ดี แต่กำลังยกตัวอย่างให้เห็นความสุดขั้ว
ทั้งที่อย่างน้อยที่สุด ฟุตบาทเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น ทุกสถานะ ที่อยู่ในกรุงเทพฯ
เมืองทุกเมืองย่อมเคยเละเทะมาก่อน และจากประสบการณ์ของเมืองต่าง ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้ มีปัจจัยสองอย่างที่ดิฉันคิดว่าสำคัญ คือ 1.มีการกระจายอำนาจที่แท้จริง และ 2. การทำงานด้านองค์ความรู้ทั้งหมด นักออกแบบเมือง นักวางผังเมือง สถาปนิกที่ทำเรื่องเมือง ต้องทำงานร่วมกับผู้มีความรู้ด้านอื่น เช่น ประวัติศาสตร์การใช้ที่ดิน ประวัติศาสตร์ชุมชน เพื่อนำไปออกแบบเมือง และการจะทำให้เป็นจริงได้ก็ต้องไปทำงานร่วมกับนักการเมือง นักการเมืองก็ต้องทำตามเจตจำนงของคนที่อยู่ในเมือง เพราะฉะนั้นนักการเมืองก็ต้องมาจากการเลือกตั้ง.