แก้ปัญหา "ความอดอยาก" อย่างไร ? เรื่องเล่าซีอีโอ

ปัญหาเรื่อง "ความอดอยาก" ผมจะขอยกตัวอย่างการโต้วาที (Debate) ที่ผมเคยได้รับฟังมา เป็นการอภิปรายที่เกี่ยวกับเรื่องของ "ความอดอยาก" ซึ่งจัดขึ้นให้มีบุคคล 4 ท่านมาโต้แย้งกันบนเวทีระดับสากล ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความอดอยากได้อย่างไร ผมขอไม่เอ่ยชื่อ 4 ท่านนี้ และสถานีข่าวต่างประเทศซึ่งเป็นผู้จัด
ท่านแรก เป็นนักการเมืองระดับอดีตนายกรัฐมนตรี ท่านที่ 2 เป็นนักข่าวอาวุโส และเอ็นจีโอ และเขียนหนังสือด้วย เป็นท่านที่ได้รับความเชื่อถือมากในประเทศอินเดีย ท่านที่ 3 เป็นประธานมูลนิธิเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และท่านที่ 4 เป็นอดีตนายธนาคาร
ทั้ง 4 ท่าน เป็นตัวแทนจาก 4 ภาค คือภาคการเมือง ภาคเอ็นจีโอ ภาคสังคม และภาคเอกชน ที่สะท้อนภาพนี้ออกมา โดยผมสรุปได้ดังนี้ ซึ่งอาจมีความเข้าใจ หรือการที่ผมแปลความหมายเองเข้าไปด้วย
ท่านที่ 1 ตัวแทนภาคการเมือง สรุปว่า ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องความอดอยาก หรือความยากจน ต้องเรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จ กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ ว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ทำกันอย่างไร ในการโต้วาทีครั้งนี้มีการหยิบยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างรวดเร็ว และมีความแตกต่างที่ชัดเจนเมื่อเทียบกับเกาหลีเหนือ
ท่านที่ 2 นักข่าวอาวุโส และเอ็นจีโอ บอกว่า ต้องเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจใหม่ ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นผลิตผลนิยม (Productivity base) หรือทุนนิยม หรือที่เรามักคุ้นเคยกันดีในชื่อของการวัดผลความเจริญของประเทศด้วย GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เพราะระบบนี้ทำให้คนรวยรวยมากขึ้น คนจนจนลง ไม่ได้จนเหมือนสมัยก่อน แต่จนมากกว่าเดิม เพราะว่าเป็นหนี้ เมื่อก่อนอดอยาก แต่ไม่ได้เป็นหนี้ แต่สมัยนี้อดอยาก และเป็นหนี้ด้วย เพราะปัจจัยของความเป็นอยู่ทางสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความต้องการพื้นฐานของสังคมที่มีองค์ประกอบในการดำเนินชีวิตสูงขึ้น
ท่านนี้จึงใช้คำพูดที่หนักหน่วงว่า ระบบที่เป็นผลิตผลนิยมหรือทุนนิยม ถือเป็นระบบที่เป็น Devil system เป็นระบบที่เลวร้าย และสรุปว่าต้องเปลี่ยนระบบให้เป็นระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อน โดยดูจากความเป็นอยู่ที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี หรือ Well being สรุปได้ว่า ท่านต้องการให้มีการเปลี่ยนระบบให้เป็นระบบใหม่ที่ไม่มุ่งหวังผลิตผลเป็นที่ ตั้ง แต่มุ่งหวังความเป็นอยู่ที่ดี มุ่งหวังชีวิตที่มีคุณภาพ
อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้ยังไม่มีการอ้างอิงระบบอะไรที่สามารถจับต้องได้อย่างชัดเจน ซึ่งยังไม่มีความเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเหมือนกรณีของท่านที่ 1
ท่านที่ 3 ประธานมูลนิธิเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความเห็นว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องความอดอยาก ความยากจน ต้องกระจายอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจการบริหารสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น คือกระจายอำนาจการบริหารประเทศและงบประมาณ เพื่อให้พื้นที่ระดับชุมชน (Community) ได้พัฒนาตัวเองอย่างยั่งยืน และมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ในการลองผิดลองถูก
การที่ภาครัฐใช้การบริหารแบบศูนย์รวมทำให้เกิดการไม่กระจายตัวของงบประมาณที่เหมาะสม การไม่กระจายโอกาส การไม่กระจายความรู้ กระจุกตัว แม้กระทั่งการเปิดโอกาสให้เกิดการคอร์รัปชั่น ขาดการเปรียบเทียบซึ่งเป็นพื้นฐานของความโปร่งใสในการบริหาร เมื่อขาดการเปรียบเทียบก็ขาดกระบวนการการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในกรณีกระจายลงไปในพื้นที่ชุมชน (Community) การเรียนรู้ก็เกิดได้จากการแข่งขันเปรียบเทียบ ที่เราเรียกว่า Best practice ว่าที่ไหนทำได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ เรียนรู้กันได้
ท่านสุดท้าย อดีตนายธนาคาร บอกว่า การแก้ปัญหาความอดอยากยากจนต้องดึงเอกชนมารับผิดชอบ เพราะเอกชนคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นเอกชนต้องมีหน้าที่ร่วมรับผิดชอบในการแก้ปัญหาความยากจน จะโดยวิธีการใด ๆ ก็แล้วแต่ โดยการออกกฎหมายหรือระบบภาษี ต้องมีทั้งข้อบังคับและแรงจูงใจที่ทำให้เอกชนมาร่วมรับผิดชอบให้ได้ ซึ่งกำลังความสามารถของเอกชนจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างยั่งยืน
ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นความคิดเห็นที่ดีมาก เป็นการโต้วาทีที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยฟังมา แต่ละท่านมีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งล้วนสะท้อนถึงปัญหาและความเป็นไปได้ในการลดความอดอยาก
ทั้ง 4 กรณีนี้เป็นมุมมองที่มีประโยชน์และเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศเราได้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าทางสังคมในเรื่อง "คุณธรรม จริยธรรม" ไม่ว่าจะวิธีคิด 1 2 3 4 ที่กล่าวมาแล้ว ถ้าสังคมนั้นไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม ต่อให้มีระบบใหม่ ก็บิดระบบได้ อ้อมระบบอ้อมกฎระเบียบ เพื่อเอารัดเอาเปรียบกัน ต่อให้เราไปเรียนรู้จากประเทศอื่น แต่ระบบของเราไม่สามารถที่จะวางพื้นฐานที่ยั่งยืนได้ เรียนรู้ได้ก็คงเรียนรู้ได้แบบผิว ๆ เพราะไม่เข้าซึ้งและรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมและพื้นฐานคุณค่าของสังคม
เพราะฉะนั้น ต่อให้กระจายอำนาจ ถ้าผู้นำชุมชน และแม้กระทั่งผู้ที่เลือกผู้นำในชุมชนนั้น ๆ ขึ้นมาช่วยบริหาร ก็ไม่ได้ยึดคุณค่าของคุณธรรม จริยธรรม คือคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก ในส่วนเอกชนก็เช่นกัน ถ้าเอกชนไม่ยึดอยู่บนคุณธรรม จริยธรรม ก็หาทางเลี่ยงได้อยู่ดี แม้ความตั้งใจของนโยบายจะเป็นความตั้งใจที่ดี
เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าความเป็นไปได้จะกลับมาที่สังคมนั้นว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ให้คุณ ค่ากับส่วนรวมหรือไม่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตัวเองต่อส่วนรวมหรือไม่
เมื่อสังคมมีการยึดถือคุณภาพของการคิดถึงส่วนรวม ซึ่งเป็นพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรมเป็นหลัก สังคมนั้นหรือชุมชนนั้นจะเลือกผู้นำที่คิดถึงส่วนรวมเป็นการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนของชุมชนของตน ทั้งในระดับของผู้นำทางการเมือง ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำองค์กร ซึ่งผู้นำเหล่านี้คือผู้ที่จะหยิบยกเอาวิธีการในมุมมองทั้ง 4 มาใช้ได้อย่างเกิดผลอย่างแท้จริงต่อการแก้ปัญหาความอดอยาก หรือความยากจน และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
สรุปคือการทำให้สังคมตระหนักถึงการ คิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก เพื่อการเกื้อหนุนกันโดยไม่ละเว้นส่วนหนึ่งส่วนใดของสังคม ซึ่งต้องเป็นการเกื้อหนุนกันอย่าง "ยั่งยืน" ผมเชื่อว่าการจะทำได้นั้นต้องอาศัยกรอบโครงสร้างปัจจัยพื้นฐาน (Eco system) คือ 1.ระบบการศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องคุณค่าพื้นฐานของสังคมในการอยู่ร่วมกันไป พร้อม ๆ กับความรู้และการพิสูจน์ค้นคว้า
2.ความรับผิดชอบของสื่อต่าง ๆ ในการสะท้อนคุณค่าของการคำนึงถึงส่วนรวม ไม่มุ่งเน้นแต่เพียงการขายข่าว หรือความบันเทิง 3.ความตระหนักของผู้นำในทุกระดับชั้นของสังคม ซึ่งถ้าจะนับไปมีเพียงหลักพันหลักหมื่นคนเท่านั้น 4.การใช้ประโยชน์สูงสุดจากพุทธศาสนาที่มีโครงสร้างหยั่งลึกในสังคมไทย เพื่อการสร้างสมดุลของสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักธรรมะความจริงของการ เกื้อกูลกันของทุกอย่าง
สุดท้ายแน่นอนที่สุด ทุกอย่างต้องเริ่มต้น
ที่ตัวเราในฐานะบุคคลหนึ่งในครอบครัวและสังคมกระจายวงออกไปได้จาก 1 เป็น 10 จาก 10 เป็น 100 และต่อเนื่องไปไม่รู้จบ ตลอดจนหน้าที่ในการเลือกผู้นำในระบบของสังคมและประเทศของเราเอง ก็เชื่อได้ว่าความอดอยาก ความยากจน ความเหลื่อมล้ำในสังคมจะแก้ได้อย่างแน่นอน "การเดินทางที่ยิ่งใหญ่เกิดจากย่างก้าวเล็ก ๆ มาประกอบกัน"
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก : ไทยรัฐออนไลน์
