ข้อเท็จจริง "จุฬาฯ" กรณีขอคืนพื้นที่ "อุเทนถวาย"

วันที่ 15 มี.ค. 56 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ เรื่อง "ข้อเท็จจริงกรณีที่ดินจุฬาฯ" กรณีจุฬาฯเรียกคืนที่ดินจากมหาวิทยาลัยราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย ใจความว่า
-----
ตามที่ได้มีการออกข่าวการพัฒนาที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ผ่านมานั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอเสนอข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้
ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น มีพื้นที่ขนาด 1,153 ไร่ ซึ่งได้จัดแบ่งตามผังแม่บทได้เป็น 3 ส่วน คือ พื้นที่เขตการศึกษาประมาณ 50 % พื้นที่สำหรับส่วนราชการยืมหรือเช่าใช้ ประมาณ 20 % และพื้นที่เขตพาณิชย์ประมาณ 30 %

ซึ่งการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว เป็นไปตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าการที่มหาวิทยาลัยจะสามารถดำเนินพันธกิจหลักได้นั้น จำเป็นต้องมีทรัพยากรเกื้อหนุนเพิ่มเติมจากงบประมาณแผ่นดิน ใน พ.ศ. 2482 จึงได้มี พรบ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนกรณีการขอคืนพื้นที่จากอุเทนถวายนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกต้อง ชัดเจน โดยเป็นการขอคืนพื้นที่เช่าจากอุเทนถวาย ในฐานะเป็นผู้เช่าใช้พื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บนพื้นที่ 20 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ระหว่าง พ.ศ. 2478 - 2546 รวม 68 ปี ดังมีหลักฐานการชำระเงินค่าเช่าที่ดิน ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 เป็นเงิน 514.66 บาท และมหาวิทยาลัยได้เริ่มเจรจาขอคืนพื้นที่มาตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เพื่อขยายเขตพื้นที่การศึกษาตามโครงการพัฒนาของมหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ กระบวนการขอคืนพื้นที่ของจุฬาฯ จากอุเทนถวายนั้น ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาจาก คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง หรือ “กยพ.” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณาข้อพิพาททางแพ่งระหว่างหน่วยงานของรัฐ ด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.2550 โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบไปด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการ 2. ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการ 3. ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการ 4. เลขาธิการคณะรัฐมนตรี กรรมการ 5. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการ 6. อัยการสูงสุด กรรมการและเลขานุการ 7. อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอัยการสูงสุด กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 8. อัยการพิเศษฝ่ายการยุติในการดำเนินคดีแพ่งฯ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
การวินิจฉัยชี้ขาดของ กยพ. เป็นการพิจารณาข้อเท็จจริงและตรวจสอบพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อุเทนถวาย อย่างละเอียด รอบคอบและรอบด้าน โดยได้ใช้ระยะเวลาในการพิจารณาถึง 2 ปี ซึ่งในกระบวนการพิจารณานั้น มีหลักฐานแน่ชัดว่า มีตัวแทนฝ่ายอุเทนถวายเข้าร่วมในกระบวนการดังกล่าวด้วย อาทิ ตัวแทนอาจารย์ ตัวแทนนักศึกษา ผู้อำนวยการสถาบันนวัตกรรม นายกสมาคมศิษย์เก่าฯ กรรมการสมาคมศิษย์เก่าฯ ที่ปรึกษากฎหมายของสมาคมศิษย์เก่าฯ
สรุปผลการพิจารณาตัดสินชี้ขาดของ กยพ. ให้อุเทนถวายขนย้ายและส่งมอบพื้นที่คืนให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมชำระค่าเสียหายให้กับจุฬาฯ ปีละ 1,140,900 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2549 จนกว่าจะส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเสร็จสิ้น ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบผลการตัดสินชี้ขาดของ กยพ. เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2553
นอกจากนี้ การยื่นถวายฎีกาของตัวแทนฝ่ายอุเทนถวาย เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2552 นั้น ได้มีหนังสือ ตอบกลับจากสำนักราชเลขาธิการ แจ้งให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดของ กยพ. โดยมีหลักฐานปรากฎเป็นเอกสารจากสำนักราชเลขาธิการถึง นายสมศักดิ์ รัตนเชาว์ ผู้ยื่นถวายฎีกา หนังสือเลขที่ รล 0007.4/1935 ลงวันที่ 4 ก.พ.2554 ซึ่งถือเป็นการยุติแล้ว
สำหรับการพัฒนาโครงการต่างๆ บนพื้นที่เขตพาณิชย์นั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอยืนยันว่า ได้ดำเนินการภายในพื้นที่ 30% ตามผังแม่บทของมหาวิทยาลัย โดยจะไม่มีการขยายพื้นที่แน่นอน ซึ่งรายได้ที่ได้จากการพัฒนาโครงการต่างๆ ในพื้นที่เขตพาณิชย์นั้น จะนำไปสนับสนุนและพัฒนาด้านการศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยในหลายๆด้าน ได้แก่
- งานวิจัยและนวัตกรรม: เพื่อช่วยตอบโจทย์สำคัญให้กับประเทศ ช่วยแก้ปัญหาสังคมทั้งระดับชาติและนานาชาติ รวมทั้งการต่อยอดงานวิจัยสู่ภาคเอกชนและอุตสาหกรรม\
- งานบริการเพื่อสังคม: ทั้งชุมชนรอบจุฬาฯ และสังคมภายนอก
- ทุนการศึกษา: ประมาณ 12,000 ทุน (450 ล้านบาท)
- พัฒนาการจัดการศึกษา และพัฒนานิสิต: สื่อการสอน เครื่องมือการเรียนการสอนและการวิจัย ด้าน ICT ด้านดนตรี และด้านกีฬา
- พัฒนาอาจารย์ และบุคลากร: ส่งเสริมศักยภาพการเรียนการสอน และงานวิจัย
- ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และบำรุงสถานที่สำคัญ : พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน
ในกรณีกรมพลศึกษาและโรงเรียนปทุมวัน (โรงเรียนประถมศึกษา ในสังกัด กทม.) ซึ่งได้เช่าพื้นที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น ได้ผ่านการเจรจาร่วมกันจนเป็นที่เข้าใจและได้ข้อยุติเรียบร้อยแล้ว
การดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ผ่านมานั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อวงการศึกษาและสังคมไทย โดยดำเนินการด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เพราะมีการตรวจสอบทั้งภายใน โดยสำนักตรวจสอบ และภายนอก โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทุกภาคส่วนจึงสามารถเชื่อมั่นในการดำเนินงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ อย่างแท้จริง
อ่านประกอบ
