แด่ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมศร์

วันนี้ผมนึกเรื่องที่จะเขียนได้อยู่เรื่องเดียว คือเรื่อง พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมศร์
เขาคือรองผู้กำกับการตำรวจภูธร (ฝ่ายปราบปราม) สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ จังหวัด นราธิวาส ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเพราะต้องกับระเบิดที่โจรลอบวางไว้ เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคมนี้
คุณจักรกฤษณ์เป็นคนเชียงใหม่ เรียนจบจากโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย แล้วจึงไป เรียนต่อจนจบได้ปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อจากนั้นจึงได้เข้ารับราชการกับ กรุงเทพมหานคร เริ่มด้วยการเป็นนักพัฒนาชุมชน สำนักงานเขตดุสิต จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็น นักปกครองระดับ ๔ เขต สำนักงานเขตบางซื่อ
ในปี ๒๕๓๓ คุณจักรกฤษณ์ลาออกจากกรุงเทพมหานครไปสมัครเป็นตำรวจ และได้รับแต่ง ตั้งเป็นสารวัตรสืบสวน สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รับผิดชอบในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียง เหนือ ตำแหน่งในสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนั้น ใคร ๆ ก็อยากจะได้ เพราะนอกเหนือจาก เงินเดือนแล้ว ยังมีรายได้พิเศษทั้งที่ชอบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในปี พ.ศ.๒๕๕๐ เมื่อมีข่าว ว่าคุณครูจูหลิง ปงกันมูล ครูโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ถูกโจรฆ่าตาย คุณจักรกฤษณ์ก็สละตำแหน่งนั้น และอาสาสมัครลงไปอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุผลของ การอาสาสมัครคือเพื่อจะจับคนร้่ายที่สังหารคุณครูจูหลิงมาลงโทษให้ได้ คุณจักรกฤษณ์ประกาศ ด้วยว่า หากยังจับคนร้ายไม่ได้ก็จะไม่ขอย้ายออกมานอกพื้นที่
คุณครูจูหลิงเป็นคนจังหวัดเชียงราย เป็นชาวเหนือเช่นเดียวกับคุณจักรกฤษณ์
ก่อนพ้นสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปคุณจักรกฤษณ์ได้รับเกียรติบัตรยกย่องว่าเป็นนายตำรวจที่มีผลงานดีเด่น ในสังกัดใหม่ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสารวัตรฝ่ายปราบปราม สถานี ตำรวจภูธรอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส และต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับการตำรวจ ภูธร สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ และเลื่อนยศเป็นพันตำรวจโท อันเป็นยศที่เขาดำรงอยู่ขณะเสียชีวิต ตั้งแต่ไปรับหน้าที่ในอำเภอรือเสาะ คุณจักรกฤษณ์เตรียมตัวอย่างเต็มที่จะเผชิญกับโจร ด้วยการฝึกยิงทั้งปืนพกและปืนยาวจนได้รับรางวัล ฝึกฟันดาบจนจบหลักสูตรจากสำนักพุทไธ สวรรย์ และผ่านการอบรมหลักสูตรนาวิกโยธิน เขาตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างขะมักเขม้น เสียสละ และเอาจริง เป็นที่พอใจของทั้งประชาชนชาวอำเภอรือเสาะและผู้บังคับบัญชา ชาวบ้านให้สมญา คุณจักรกฤษณ์ว่า “รองชุมแพ” ตามชื่อพระเอกในละครเรื่อง “ชุมแพ” ที่แสดงทางสถานีวิทยุโทร ทัศน์ช่อง ๗ ในสมัยนั้น ในวันตำรวจเมื่อปีกลายนี้ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ คุณจักรกฤษณ์ได้รับ รางวัล “ขวัญใจชาวรือเสาะ”
คุณจักรกฤษณ์ไม่กลัวโจร เมื่อเห็นว่าพฤติการณ์ของโจรเป็นไปอย่างเหี้ยมโหด ทำร้ายและ สังหารชาวบ้านโดยไม่เลือกเพศเลือกวัยหรืออาชีพ คุณจักรกฤษณ์ก็ปิดประกาศอย่างเปิดเผย บอก โจรให้หยุดรังแกพลเรือน ผู้หญิง เด็กและคนชรา และท้าว่า “แน่จริงมายิงกับชุมแพ”
ในวันที่เกิดเหตุ คุณจักรกฤษณ์พร้อมด้วยตำรวจในบังคับบัญชาอีกสองคน คือ ส.ต.อ.ปิยะ ภูพันเว่อ และ ส.ต.ท.สุเวส จันทรังษี เดินทางไปร่วมกิจกรรมมอบวุฒิบัตร “บัณฑิตน้อย” ให้นักเรียน ที่โรงเรียนรือเสาะ เมื่อเสร็จงานแล้วจึงเดินทางกลับ ขณะที่รถตำรวจแล่นไปถึงเชิงสะพานข้าม คลองที่บ้านปราลี โจรก็จุดชนวนทำให้กับระเบิด ๆ ขึ้น กับระเบิดลูกนั้นบรรจุอยู่ในถังแก๊สที่จุ ๙๐ กิโลกรัม แรงระเบิดทำให้รถที่คุณจักรกฤษณ์และเพื่อนตำรวจนั่งอยู่กระเด็นตกลงไปในคลอง ร่าง ของคุณจักรกฤษณ์และเพื่อนร่วมงานทั้ง ๒ คนฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในสภาพเช่นนั้น หากว่าคุณจักรกฤษณ์และเพื่อนมีความเจ็บปวดไม่ว่าจะมากเพียงใด ก็คง จะชั่วเวลาเพียงวินาที เพราะคุณจักรกฤษณ์และเพืื่อนคงขาดใจและเสียชีวิตในทันที
อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาสนั้น เป็นสนามรบมาช้านานแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ทหาร หรือพลเรือน ต้องอยู่ในสภาพพร้อมรบ และต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญเหตุ ร้ายอยู่ตลอดเวลา เหตุร้ายที่เกิดกับคุณจักรกฤษณ์และเพื่อนตำรวจทั้งสองแสดงว่า ฝ่ายโจรวาง แผนไว้ก่อนแล้วเป็นอย่างดี และคงจะรู้ด้วยว่าคุณจักรกฤษณ์และเพื่อนตำรวจจะต้องเดินทางไป และกลับโดยข้ามสะพานนั้นในเวลานั้น
เหตุร้ายเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลเริ่มเจรจาหาทางยุติความไม่สงบกับขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN ย่อมาจาก Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani คือขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่ง ชาติมลายูปัตตานี) ที่รัฐบาลเชื่อว่าเป็นขบวนการที่บัญชาการโจร รัฐบาลเริ่มเจรจากับบีอาร์เอ็น เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีมาเลเซียเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” แต่เป็นที่สังเกต ว่านับแต่เริ่มมีการเจรจากันเป็นต้นมา โจรมิได้เพลามือลง และเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาค ใต้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังตัวอย่างคือการลอบสังหารคุณจักรกฤษณ์กับเพื่อนตำรวจ เมื่อวัน ศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคมนี้
น่าคิดว่าเป็นเพราะเริ่มการเจรจากัน และเพราะอาจจะมีการสงบศึกกันใช่หรือไม่ ที่ทำให้ โจรยิ่งเร่งโหมกำลัง เพื่อให้ตนอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ก่อนที่การต่อสู้จะยุติลง
จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ขณะที่รัฐบาลกำลังใช้การเมืองแก้ปัญหาอยู่นี้ ถ้าเป็นหมากรุก เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งพลเรือน ทหาร และตำรวจก็เหมือนกับเบี้ยที่อาจถูกฝ่ายตรงกันข้ามกิน เพื่อ รักษาขุนและโคนเอาไว้ จนกว่าการเจรจาจะถึงที่สุดและทั้งสองฝ่ายพอใจและยอมรับเง่ือนไขแล้ว จนกว่าจะถึงตอนนั้น ความเสียหายและสูญเสียจะยังคงมีอยู่ บางครั้งอาจจะรุนแรงและ กว้างขวาง อย่างในกรณีของ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ พรหมเมศร์ และเพื่อนตำรวจของเขาทั้งสองคน
ผมขอร่วมสดุดีและอาลัยวีรบุรุษในเครื่องแบบตำรวจทั้งสามคนด้วย.
