หุ้นไทยใกล้จุดสูงสุดเดิม 1,789 จุด...เป็น “ลูกโป่งใกล้แตก” แล้วหรือยัง ?

ช่วงนี้ ผมได้รับคำถามบ่อยมาก ว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นจุด เป็น “ลูกโป่งใกล้แตก” แล้วหรือยัง ?
ก็สมควรอยู่ เพราะช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยระดับใกล้ๆ 1,600 จุด ก่อนตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯมา ในปี 1975 นั้น มีเพียงเดือนเดียวที่ดัชนีสูงระดับนี้ คือ เดือน มกราคม 1994 ซึ่งดัชนีตลาดฯ ขึ้นสูงสุด ของวันที่สูงสุด 1,789 จุ
ผมมองเร็วๆแล้ว ผมคิดว่า “ไม่ใช่” ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้
1. ระดับ “ลูกโป่ง” วัดด้วยอะไร ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมวัดระดับ “ลูกโป่ง” ด้วย “เงินกู้สำหรับซื้อหุ้น” หรือ ที่เรียกว่า “มาร์จิ้นโลน” ซึ่งในยุค 1994-1997 นั้น ยอดอยู่แถวๆ 1.2-1.5 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบัน ยอดอยู่เพียงประมาณ 5-5.5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น
และหากมองเทียบกับขนาดตลาดฯ ช่วงโน้นมูลค่าตลาดสูงๆเพียง 3.5 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันสูงถึง 13 ล้านล้านบาท กล่าวได้ว่า ขนาดตลาดฯใหญ่ขึ้น กว่า 3 เท่า แต่เงินปล่อยกู้ซื้อหุ้นลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวได้ว่า ระดับสัดส่วนความเป็นลูกโป่งลดลงมากเมื่อเทียบกับขนาดตลาดหุ้น
2. เวลาลูกโป่งแตก แสดงว่าหุ้นแพงมากใช่ไหม ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมคิดว่าใช่เลยครับ ถ้าหุ้นไม่ใช่แพงมาก ก็คงไม่ตกแรงมาก ตอนนั้น ระดับตลาดหุ้นซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 20 เท่า เมื่อเทียบกับปีข้างหน้า และปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า
ผมมักชวนให้นักลงทุนคำนวณส่วนกลับ PER ด้วย เพราะ PER คือ ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น และ ส่วนกลับ คือ 1/PER = กำไรต่อหุ้น / ราคาหุ้น คือ ผลตอบแทน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปันผล และส่วนที่เหลือบริษัทเก็บไว้โต ซึ่งก็ยังเป็นของเจ้าของหุ้นอยู่ดี
ยุคที่ PER 20 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/20 = 5%
และปัจจุบัน PER ประมาณ 14 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/14 = 7%
โดยเฉพาะเมื่อเทียบผลตอบแทนกับเงินฝาก ช่วงนั้น คือ 20 เท่า คือผลตอบแทน 5% ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยสถาบันการเงิน ใกล้ๆ 10% ! แต่ ปัจจุบัน PER 14 คือ ผลตอบแทน 7% ก็ยังสูงกว่าดอบแทนธนาคาร ซึ่งอยู่ระดับ 2-3% เท่านั้น จึงยังไม่เห็นแรงกดดันที่น่ากลัวว่า เงินจะแห่ออกจากตลาดหุ้น ไปฝากสถาบันการเงินแต่อย่างใด
3. หุ้นไทยวิ่งแรงกว่าต่างประเทศเกินไปหรือเปล่า ? มี 2 ปัจจัยที่ตลาดหุ้นไทยมีความพิเศษกว่าต่างประเทศ
เรื่องแรก โดยนโยบาย รองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง อัตราภาษีของบริษัทจำกัด และ บริษัทมหาชนจำกัด ได้ปรับจาก 30% เป็น 23% ในปี 2012 และ 20% ในปี 2013 ตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 70% เป็น 77% และ 80% ตามลำดับ คือ ทำให้กำไรปี 2013 โตจากปี 2011 ประมาณ 14% หากบริษัททำกำไรก่อนภาษีได้เท่าเดิม
เรื่องที่ 2 บ้านเมืองเราบอบช้ำจากความวุ่นวายทางการเมือง และ ภัยธรรมชาติ มานานหลายปี บัดนี้ หลายเรื่องดูดีขึ้น จึงทำให้ตลาดหุ้นเรา ก็สมควรที่จะซื้อขายในระดับปรกติใกล้เคียงตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ
ด้วย 2 ปัจจัยนี้ การที่ตลาดหุ้นไทย จะได้วิ่งแรงกว่าตลาดอื่นกันบ้างก็คงไม่น่าจะแปลกอะไร
4. การปล่อยมาร์จิ้นหลักทรัพย์ เหมือนหรือต่างกับอดีตอย่างไร ? จะเป็นระเบิดเวลาหรือไม่ ? ต่างกันค่อนข้างมากในหลายๆเรื่อง
เรื่องแรก แต่ก่อนนี้ ลูกค้าถูกบังคับให้ใช้ระบบ P/N มาร์จิ้น คือให้ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน บง. หรือ บงล. 1 ล้านบาท แล้วกู้ประมาณ 2 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น 2 ล้านบาท ดังนั้น บล. หรือ บงล. จึงปล่อยสินเชื่อ 2 ล้านบาท โดยมีหุ้น 2 ล้านบาท เป็นหลักประกัน รวมกับตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 1 ล้านบาท มองจากมุมนักลงทุนก็คือ ต้องเป็นหนี้ถึง 2 ล้านบาท โดยใช้หุ้น 2 ล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงิน 1 ล้านบาท เป็นหลักประกัน สินเชื่อต่อหลักประกัน สูงถึง 67% เสี่ยงมากสำหรับสถาบันการเงิน และเสี่ยงสำหรับนักลงทุนเช่นกัน เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินในที่สุด ของหลายๆแห่ง เกือบกลายเป็นกระดาษเปล่า
แต่ปัจจุบันลูกค้าจะจ่ายเงินตรงกับ บล. 1 ล้านบาท และกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น 2 ล้านบาท ภาระหนี้นักลงทุนก็น้อย สินเชื่อที่ บล. ปล่อยก็น้อย สินเชื่อต่อหลักประกัน ก็ลดลงเหลือประมาณ 50% เท่านั้น
นอกจากนั้น ปัจจุบัน ยังมีข้อมูลว่า ทั้งระบบปล่อยสินเชื่อหุ้น โดยมีหุ้นของบริษัทต่างๆ เป็นหลักประกัน กี่ % ของบริษัท ในปี 2008 ที่ตลาดวิกฤตทั่วโลกจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มีหุ้นบางหุ้น ตกจากมูลค่าตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดเหลือเพียง 200 ล้านบาทใน 8 วัน !
เมื่อได้ดูรายงานนี้ จะเห็นว่าหุ้นประเภทนั้นมีหุ้นวางเป็นหลักประกันสูงถึงประมาณกว่า 40% จึงไม่แปลกที่เวลาตก จะลงแรง เพราะหุ้นเกือบครึ่งบริษัทวางเพื่อกู้เงินนั้น ทำให้ระดับราคาหุ้นอยู่ในระดับ “ปลอม” ง่ายๆ และตกแรงเมื่อลูกโป่งแตกในหุ้นนั้น
โบรกเกอร์ในปัจจุบันจึงดูข้อมูลในประกอบ ของเราก็จะไม่ปล่อยเพิ่มหากทั้งวงการมีหุ้นวางเป็นหลักประกันเกิน 20% แล้ว ผมจึงคิดว่า นักลงทุนก็ควรเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เช่นกันเพื่อประกอบการลงทุน
ในสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ นักลงทุนพึงลงทุนด้วยความระมัดระวัง เน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐาน ลงทุนระยะยาว ศึกษาข้อมูลทั้งสภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ลงทุน เชื่อว่า จะได้ผลตอบแทนคุ้มค่าครับ
