สุจิต บุญบงการ มองระบบเลือกตั้งไทย “คนเมืองแพ้ชนบท” (ทุกที)
วันก่อน สถาบันพระปกเกล้าจัดเปิดตัวหนังสือแปล “การประเมินคุณภาพประชาธิปไตย : คู่มือปฏิบัติ” ซึ่งแปลจากหนังสือ Assessing the Quality of Democracy : A Practical Guide เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ
โดยหนังสือระบุถึงกรอบแนวคิดที่สำคัญที่ใช้ในการประเมินคุณภาพประชาธิปไตย อาทิ กรอบแนวคิดเรื่องความเป็นพลเมือง กรอบแนวคิดเรื่องรัฐบาลในฐานะตัวแทนประชาชนที่ต้องมีความรับผิดชอบ เป็นต้น มีการพูดถึงหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับร่วมกันเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย คือ หลักการ “ควบคุมโดยเสียงข้างมาก” และหลักการ “ความเท่าเทียมกันทางการเมือง”

ซึ่ง ศ.ดร.สุจิต บุญบงการ อดีตประธานสภาพัฒนาการเมือง และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นบางส่วนต่อประเด็นดังกล่าว ว่าด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองในปัจจุบัน และหลักการเคารพเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย
สำนักข่าว อิศราเก็บความของ ศ.ดร.สุจิตร มานำเสนอดังนี้
“สำหรับความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ผมคิดว่าสังคมไทยและประชาธิปไตยไทยได้พัฒนามาถึงจุดที่ว่า เราไม่สามารถให้คนมีความคิดหรือความเชื่อทางการเมืองที่เหมือนกันได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนนี้เราอาจจะมองว่าคนไทยเป็นอนุรักษ์นิยม คือไม่ได้มีความคิดอะไรที่ก้าวหน้าไปมากมายนัก
ลัทธิสังคมนิยมเข้ามาในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่มันมาเร็วเกินไปจึงถูกตีตกเพราะว่าคนทุกระดับไม่ค่อยรับ อาจจะมีคนระดับนักวิชาการบางคนที่รับ แต่เดี๋ยวนี้เราทำท่าจะเหมือนประเทศตะวันตกที่เราสามารถแบ่งได้ว่า คนนี้มีความเชื่อแบบขวา คนนี้กลางขวา คนนี้กลาง คนนี้กลางซ้าย คนนี้ซ้าย สามารถแบ่งได้ว่าคนไหนหัวก้าวหน้า คนไหนอนุรักษ์นิยม เป็นเพียงว่าบางคนไม่รู้ตัว ว่าคิดยังไง หรือบางคนไม่รู้ว่าที่ตัวเองเชื่อ นั้นเชื่อด้วยใจจริงหรือเชื่อเพราะถูกหว่านล้อม
ขณะนี้ผู้นำระดับบนที่มีอยู่หลายกลุ่มได้เริ่มแบ่งคนออกเป็นส่วน ๆ คนที่ยอมให้ถูกแบ่งว่าเป็นเหลืองเป็นแดง ฟ้า น้ำเงิน หรือหลากสี ส่วนหนึ่งใส่เสื้อสีเหล่านั้นเพราะ “ความเชื่อ” ส่วนหนึ่งใส่เพราะถูกดึงเข้าไปโดยที่อาจยังไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร ดังนั้นอย่าเพิ่งไปบอกว่าสิ่งที่คุณเชื่อนั้นไม่ถูก หรือว่าที่คุณเชื่อถึงแม้ว่าถูกแล้ว คุณไม่เชื่อได้มั้ยเพราะมันไม่เหมาะกับสังคมไทย ไม่ได้ เพียงแต่ว่า จะเชื่ออย่างไรก็ตาม ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีกติกา ไม่ใช่จะมาใช้กำลังประหัตประหารกัน อย่างขณะนี้ที่กำลังใช้ “กำลังสื่อ” เข้าประหัตประหารกัน
ที่นี้กติกาบางอย่าง บางฝ่ายบอกว่ารับไม่ได้เพราะเป็นกติกาที่เอารัดเอาเปรียบ เมื่อเขาเล่นทางรัฐสภาไม่ได้เขาก็เล่นทางกำลัง อันนี้ก็ต้องว่ากันเป็นเรื่อง ๆ เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่เปลี่ยนไม่ได้ มันเปลี่ยนได้แต่บางทีพวกเราใจร้อน แล้วอีกอย่างเมื่อสังคมมันมีความซับซ้อน การจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างเพื่อจะเอาใจคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมันไม่ง่ายเพราะว่าสังคมไทยเริ่มมีการแบ่งประโยชน์ตามกลุ่มตามอาชีพ
อย่างการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งล่าสุด มันเริ่มเห็นความต่างระหว่างสิ่งที่คนกรุงเทพฯคิด กับสิ่งที่คนข้างนอกคิด มันเป็นไปได้แล้ว เพราะว่านี่คือสังคมที่มันต้องเป็นอย่างนั้น เราไปจัดเขตเลือกตั้งปนกัน เพราะบังเอิญสังคมไทยไม่มีการแบ่งว่าที่ไหนเป็นเขตชนชั้นกลาง เขตกรรมกร เขตชาวนา เขตชนบท หรือเขตพ่อค้า แต่ประเทศตะวันตกจะแบ่งโดยตัวของมันเอง ดังนั้นเขตเลือกตั้งจะบอกว่าเขตนี้เป็นเขตกรรมกร เขตนี้เป็นเขตนักอุตสาหกรรม เขตนี้เป็นเขตคนเมือง อย่างในอเมริกาเขตชนบทก็จะเป็นอนุรักษ์นิยมเลย ไม่สนใจโลกภายนอก สนใจแต่อยากให้ราคาผลผลิตของตนและพวกพ้องสูงขึ้น หรือเขตนิวยอร์คก็เป็นเขตนักธุรกิจอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้เขตเลือกตั้งของไทย ต่างจังหวัดเราแบ่งปนกัน คนที่เป็นชนชั้นกลางจะอยู่เขตเดียวกันคนระดับล่าง ซึ่งจำนวนมากเป็นชาวไร่ชาวนา ดังนั้นพอถึงเวลาเลือกตั้ง ชนชั้นกลางแพ้ เขตเลือกตั้งของไทยจึงไม่เป็นตัวแทนของระดับความแตกต่างเชิงอาชีพและผลประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของเอนก (เหล่าธรรมทัศน์) ที่บอกว่า คนชนบทตั้งรัฐบาล คนในเมืองล้มรัฐบาล เพราะคนในเมืองรู้ว่ายังไง ๆ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะเมื่อวัดคะแนนเสียงแล้วแพ้ชนบททุกที เพราะเนื่องจากเขตเลือกตั้งถูกครอบโดยคนชนบท”
