บาทแข็ง ผลกระทบ ทางออก

การแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นประเด็นที่น่าจับตามองอย่างต่อเนื่อง แม้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลเศรษฐกิจจะยืนยันว่า ยังสามารถดูแลได้ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันทำให้ย้อนนึกถึงช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เพราะคล้ายคลึงกันมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นใกล้ 1,600 จุดเข้าไปทุกที มาร์เก็ตแคปทะลุ GDP ของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP) ในปี 2556 มีการคาดการณ์กันว่าจะสูงถึง 6 % ใกล้เคียงกับปี 2540 เป็นอย่างมาก ถ้าจะถามว่าเงินบาทมีโอกาสกลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง คือ 25-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ หากดูจากสัญญาณต่างๆ ที่ปรากฏในห้วงเวลานี้ก็น่าจะมีโอกาสแต่อาจจะไม่ใช่ช่วงนี้
คำถามที่ตามมาคือ ถ้าเงินบาทแข็งกว่านี้เราจะบริหารจัดการอย่างไร?
การแข็งค่าของเงินบาท มาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ
ประการแรก เกิดจากตัวแปรภายในประเทศ คือ การส่งออก ในหนึ่งเดือนประเทศไทยมียอดการส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ
ตลอดปี 2555 ประเทศไทยมียอดส่งออกทั้งสิ้น 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากผู้ส่งออกได้เงินดอลลาร์สหรัฐแล้วเทขาย วันหนึ่ง 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐ จะส่งผลต่อค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นทันที เพราะผู้ส่งออกไม่มีใครอยากถือเงินดอลลาร์สหรัฐไว้นาน เนื่องจากทุกคนเคาว่าเงินบาทจะต้องแข็งกว่านี้ ดังนั้น การเทขายดอลลาร์สหรัฐออกมาในระยะเวลาสั้นๆ อย่างต่อเนื่องจะเป็นตัวแปรที่สำคัญที่จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น
ประการที่สอง คือ การไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งมีอยู่ 2 ปัจจัย ที่เราเรียกว่า ปัจจัยผลักดันและปัจจัยดึงดูดของไทยเอง
ปัจจัยผลักดันที่ตอนนี้เห็นได้ชัดคือ นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE:Quantitative Easing) ของหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป อังกฤษ และที่มีพลานุภาพต่อเอเชียมากคือการออกนโยบายQE ของญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆนี้ ทำให้มีการปั๊มเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วเงินเหล่านี้ไหลไปไหน ก็ไหลเข้ามาในประเทศไทย เพราะมีแรงดึงดูดหลายประการ ที่สำคัญคือการเมืองไทยในวันนี้เอื้ออำนวยให้เงินไหลเข้าประเทศ สังเกตุจากหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างต่ำ อัตราเงินเฟ้อต่ำ การนำเข้า การส่งออกก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีถึงแม้ปีที่แล้วอาจชะลอตัวบ้าง การว่างงานในเมืองไทยขณะนี้ไม่ถึง 1 % ด้วยซ้ำไป ที่มากกว่านั้นประเทศไทยยังเกาะกระแสการเปิดตลาดอาเซียน(AEC)ได้ดีกว่าประเทศอื่น เพราะประเทศไทยเป็น Center Mainland Asean ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประตูสู่อาเซียนของกลุ่มประเทศภูมิภาคลุ่มน้ำโขง(CLMV) เงินทุนต่างประเทศจึงไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
เคยมีคนถามว่า ความเป็น AEC จุดไหนที่มีศักยภาพมากที่สุด คำตอบ คือ CLMV+Thailand เพราะรายล้อมไปด้วยประเทศที่มีขนาด GDP ที่เล็กมาก เนื่องจากในอดีตประเทศเหล่านี้ยังไม่ได้เปิดตัวแบบทุกวันนี้ ดังนั้น GDP ของประเทศ CLMV รวมกันจึงยังมีอัตราไม่ถึงครึ่งของGDP ประเทศไทยในขณะที่ประชากรของประเทศ CLMV รวมกันแล้วมากกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า ดังนั้นหากประเทศไทยมีแนวนโยบายที่ถูกต้อง เมื่อเปิดAEC โอกาสในการเจริญเติบโตจึงมีมาก
ขณะเดียวกันเวลานี้ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่บริการพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ(Service Based Economy) ดูได้จากการท่องเที่ยวที่เติบโตรวดเร็วได้ยกระดับความสามารถด้านการบริโภคภายในประเทศให้สูงขึ้น ช่วยลดทอนตัวแปรจากภายนอกประเทศ การส่งออกในอนาคตอาจจะลดน้อยลง นักลงทุนต่างชาติที่เงินทุนหนาก็จะหันมาลงทุนในประเทศไทย
โดยสรุปจะเห็นว่าปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งนั้นมีทั้งการเทขายดอลลาร์สหรัฐ การไหลเข้าของเงินทุน และการมองเห็นโอกาสใน AEC ของไทย ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ในภาวะเช่นนี้ผู้ประกอบการไทยต้องบริหารธุรกิจด้วยหลัก 5 More
1. More value added คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย
2. More variety คือ ผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น
3. More market คือ พยายามกระจายสินค้าไปในตลาดใหม่ๆ มากขึ้น
4. More investment คือ ขยายฐานการผลิตไปในประเทศอื่นๆมากขึ้นไม่ลงทุนเฉพาะในประเทศไทย
5. More currency คือ ในการดำเนินธุรกิจต้องใช้เงินตราอื่นๆในการค้าขายมากขึ้น
นอกจากนั้นแล้วยังต้องบริหารค่าเงิน ค่าแรงงานให้ถูกต้อง เพราะ 2 ปัจจัยนี้เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของธุรกิจ
เพื่อไม่ให้วิกฤตบาทแข็งกลับมาอีกรอบ วันนี้แบงค์ชาติต้องเอาบทเรียนในเรื่องวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นตัวตั้ง แล้วตั้งคำถามว่าทำไมตอนนั้นจึงเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ถ้าไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจะต้องทำอย่างไร ในขณะที่รัฐบาลต้องดูแล 3 เรื่องให้ดี นั่นคือ
1. หนี้ครัวเรือน
2.การบริหารจัดการนโยบายประชานิยมด้วยความระมัดระวัง
3.ฟองสบู่ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีเค้าลางจากการเพิ่มค่าราคาสินทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาหุ้น การบริโภคภายในประเทศโดยใช้นโยบายการคลังผสานกับนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม โดยเริ่มดูแลตั้งแต่บัดนี้เพื่อไม่ให้ฟองสบู่แตก
เพราะ 3 ตัวนี้ คือ ตัวแปรที่สำคัญ อย่าไปคิดว่าหนี้สาธารณะก็ต่ำ หนี้ต่างประเทศก็น้อย ไม่น่าจะเกิดวิกฤติ เพราะหากหันไปดูหนี้ครัวเรือนวันนี้สูงกว่า 20 % ลองนึกภาพดูซิว่าถ้าประชาชนรากหญ้าติดกับดักนโยบายประชานิยมอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
นโยบายประชานิยมเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเลือกสรร บางอย่างทำแล้วดี บางอย่างทำแล้วอาจจะสร้างปัญหา ประชานิยมบางโครงการเลี้ยงตัวเองได้ก็เป็นสิ่งที่น่าทำ แต่ประชานิยมบางโครงการที่รัฐบาลต้องเข้าไปแบกรับต้นทุนก็อาจจะต้องทบทวนดูใหม่ เพราะอาจจะทำให้ประเทศขาดความคล่องตัวได้
โลกทุกวันนี้การจัดการความคล่องตัวถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมานั้น เริ่มต้นมาจากฐานของทรัพยากรทางธรรมชาติ ต่อมาพัฒนาเป็นภาคเกษตร ภาคอุตสากรรมและเข้าสู่ยุคของเครื่องจักร ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เป็นเรื่องของ Knowledge Based Economy และ Finance Based Economy ผู้ประกอบการต้องไปคิดต่อว่าเศรษฐกิจไทยต้องปรับโครงสร้างอย่างไร จึงอยู่ได้ หาประโยชน์ได้จากสภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เรียกว่า ต้องใช้ Two Way Traffic Model คือ ทั้งส่งออกและนำเข้า เพื่อบริหารความเสี่ยงกรณีบาทแข็ง ก็ยังสามารถสร้างสมดุลรายได้ให้องค์กรอยู่รอดได้สถานการณ์ปัจจุบัน
