“น้ำ”กับ“การค้าโลก”

กระแสวิพากษ์ในด้านสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันส่งสัญญาณให้เห็นถึงภาวะการขาดแคลนน้ำที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ในวันน้ำโลก (World Water Day) เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สหประชาชาติ (UN) ได้รายงานว่าแม้สิทธิในการเข้าถึงน้ำสะอาดจะเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ปัจจุบันยังมีประชากรโลกหลายร้อยล้านคนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงน้ำสะอาด ดังนั้นหากมีการใช้น้ำอย่างไม่ระมัดระวังทั้งในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ โอกาสเกิด “วิกฤตน้ำ” มีแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ภาคเอกชนหลายแห่งในโลกจึงได้ตื่นตัว ให้ความสำคัญกับการใช้ “น้ำ”เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจ
หลายบริษัทเริ่มออกมาตรการหรือนโยบายหรือดำเนินการเพื่อลดการใช้น้ำ ให้มีน้ำใช้อย่างยั่งยืน เช่น
- กรณีห้างค้าปลีก Walmart ของสหรัฐอเมริกาออกดัชนีวัดความยั่งยืนของ suppliers โดยให้ supplier กรอกข้อมูลปริมาณการใช้น้ำในการผลิตสินค้าเพื่อจัดทำเป็นค่าดัชนีความยั่งยืนของ supplier ต่อไป
- กรณีบริษัทสินค้าอุปโภค P&G ของสหรัฐอเมริกาออก Supplier Environmental Sustainability Scorecard ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดัชนีวัดความยั่งยืนของ suppliers ของห้าง Walmart
- กรณีบริษัทรองเท้าและชุดกีฬา Nike ของสหรัฐอเมริกาออก Materials Sustainability Index โดยนำ “น้ำ” เป็นหัวข้อหนึ่งของการวัดความยั่งยืนในการผลิตรองเท้าหรือชุดกีฬา
- กรณีบริษัท Nestle ในสหรัฐอเมริกาออกตารางแสดงเครื่องชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม Environmental Metrics โดยทำการวัดปริมาณการใช้น้ำและการปล่อยน้ำออกจากระบบการผลิต
ผู้คนทั่วไปมักคิดว่าโลกมีน้ำอยู่มากมาย แต่ความจริงแล้วน้ำในโลกเกือบทั้งหมด (97%) เป็นน้ำเค็มในทะเลและมหาสมุทร โดยมีน้ำจืดเพียง 3% และในสัดส่วน 3% ก็เป็นน้ำจืดที่อยู่ในรูปแผ่นน้ำแข็ง ธารน้ำแข็ง และน้ำใต้ดินถึง 98.8% ดังนั้น ปริมาณน้ำจืดที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง หนองน้ำ และทะเลสาบจึงถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำทั้งหมดของโลก
ด้วยสัดส่วนของน้ำจืดที่มีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำทั้งหมด ทำให้น้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก ประกอบกับขณะนี้โลกกำลังเผชิญ 2 สถานการณ์สำคัญที่จะพลักดันให้น้ำกลายเป็นทรัพยากรที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ได้แก่ ภาวะโลกร้อน และการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรของโลก
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) เป็นภาวะอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) โดยเฉพาะจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้เกิดปรากฎการณ์ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) ซึ่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ การละลายของแผ่นน้ำแข็งในทะเลทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น และธารน้ำแข็งแถบเทือกเขาต่างๆหดตัวและมีจำนวนลดลงซึ่งจะกระทบต่อปริมาณน้ำจืดของแม่น้ำที่อาศัยการละลายของธารนำแข็ง เช่น แม่น้ำโขง
สำหรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรของโลก ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มจาก 7,000 ล้านคนในปัจจุบันเป็นราว 9,000 ล้านคนภายในปี 2593 จะสร้างแรงกดดันต่อความต้องการบริโภคและอุปโภคน้ำอย่างยิ่ง และในบางพื้นที่อาจมีการแย่งชิงทรัพยากรน้ำอย่างรุนแรง และมีการศึกษา (เอกสาร เรื่อง Last call at the Oasis ของ Jessica Yu) พบว่า หากโลกยังใช้น้ำในแนวโน้มเช่นปัจจุบัน ภายในปี 2025 ประชากรโลก 2 ใน 3 (5,300 ล้านคน) จะประสบภาวะการขาดแคลนน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของสหภาพยุโรป (EU) เรื่อง Confronting scarcity : Managing water, energy and land for inclusive and sustainable growth ซึ่งคาดว่าความต้องการน้ำของโลกจะเพิ่มขึ้น 40% ภายในปี 2030 และธนาคารโลกที่เห็นว่าการขาดแคลนน้ำจะกลายเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของโลก
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำจืดที่สะอาดใช้อย่างยั่งยืนภายใต้ 2 สถานการณ์สำคัญข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น อาทิ
- การจัดทำ water Footprint ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการใช้น้ำตลอดวัฎจักรชีวิตของสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง (เช่นเดียวกับการทำ Carbon Footprint) เช่น กาแฟ 1 ถ้วยจะมี water footprint จำนวน 140 ลิตร เนื้อวัว 1 กก.จะมี water footprint จำนวน 15,500 ลิตร
- การรายงานการใช้น้ำ ในปัจจุบันการออกรายงานความยั่งยืนหรือรายงานความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainability Report/CSR Report) ของบริษัทธุรกิจต่างๆมีจำนวนมากขึ้น และประเด็นการใช้น้ำก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่นิยมรายงาน (เช่นเดียวกับประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก)
นอกจากนี้ องค์กรที่เรียกว่า CDP (Carbon Disclosure Project) ได้ขยายบริบทของการรายงานปล่อยคาร์บอน (ก๊าซเรือนกระจก) ไปยังการใช้น้ำ (CDP Water Disclosure) ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้บริษัทต่างๆต้องทำการวัดและรายงานการใช้น้ำมากขึ้น
- การทำ cap and trade ของการใช้น้ำ ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ในกรณีที่พื้นที่นั้นมีความต้องการน้ำมากกว่าปริมาณน้ำโดยธรรมชาติ เช่น ลุ่มแม่น้ำ Murray-Darling ในออสเตรเลีย และบริเวณ Lake Mead ในลุ่มแม่น้ำโคโรราโดในสหรัฐอเมริกา
