เงินกู้ 2 ล้านล้าน...ขอบคุณลูกหลาน...ให้กำลังใจรัฐบาล ต่อต้าน “กู้มาโกง”

ผมยังมีความประทับใจในคำสอนเรื่อง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้ลูกหลาน ในหลักการที่ว่า
...เราไม่ได้เป็นผู้มอบสิ่งแวดล้อมให้เป็น “มรดก” แก่ลูกหลาน
...เราเป็นเพียงผู้ “ขอยืม” สิ่งแวดล้อมของลูกหลาน มาใช้ในรุ่นของเรา
ในภาษาคริสเตียนคือ พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งมาดี มนุษย์ทุกคนได้รับและครอบครองในฐานะ “ผู้อารักขา” เราจึงควรอารักขาไว้ให้ดีถึงวันที่เราจากไป ลูกหลานเราจะได้โลกที่ดีในรุ่นพวกเขาต่อๆไป
เมื่อมาพิจารณาโครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และทำให้ผมนึกถึง พ.ร.ก. และ พ.ร.บ. เงินกู้ “ไทยเข้มแข็ง” ในสมัย นายกฯ อภิสิทธิ์ ผมมีความเห็นในหลายประเด็น ดังนี้
1. น่าดีใจ ที่ประชาธิปไตยเดินหน้า สภาฯทำหน้าที่ผู้แทนประชาชน โดยทั่วไป ผมถือว่า การทำงานอยู่ในระบอบประชาธิปไตยดีขึ้น สภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ ผู้แทนของประชาชน ในการอภิปรายในรัฐสภา เพื่อแสดงความคิดเห็นสนับสนุนหรือ โต้แย้ง แทนประชาชน
2. ตามรอบเศรษฐกิจ การกู้เงินขนาดใหญ่ในครั้งนี้ อาจมีความจำเป็นน้อยกว่าสมัยเงินกู้ “ไทยเข้มแข็ง” ผมอายุไม่มาก (ดูหน้าตาก็จะทราบ) แต่ก็นับว่า ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ๆมา 2 รอบ ทำให้เข้าใจ การบริหารวัฏจักรเศรษฐกิจดีขึ้น
เป็นบทเรียนที่เริ่มต้นจาก “ความเจ็บปวด” ทางเศรษฐกิจ จาก “วิบัติเศรษฐกิจ” (ยิ่งกว่า วิกฤตเศรษฐกิจ) หรือที่เรียกว่า Great Depression ปี 1930 ยุคนั้น เป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จากความเชื่อทฤษฎีทางเศรษฐกิจแบบ Neo-Classic ว่า “เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำประชาชนขาดกำลังซื้อ ราคาสินค้าจะลดลงมาเอง จนกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์กลับมาซื้อสินค้าเอง” แต่รอให้ราคาสินค้าตกต่ำลงมานับสิบปี คนก็ยังไม่มีกำลังซื้อ เศรษฐกิจก็ไม่หมุนเวียน อัตราคนว่างงาน สูงสุดถึง 25% และอยู่เกินระดับ 10% นับ 10 ปี
จึงได้ก่อเกิดทฤษฎีแบบเคนส์ ที่ว่า หลังเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนขาดกำลังซื้อ ภาครัฐต้องยอมเป็นผู้จับจ่าย เพื่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ซึ่งการจับจ่ายต้องเป็นยอด “สุทธิ” คือ จ่ายมากกว่าที่รับ ซึ่งทำให้ “รัฐต้องกู้” คือ ทำงบประมาณแบบขาดดุลงบประมาณ
เราจึงได้เห็นว่า ในยุควิกฤตต้มยำกุ้งปลายปี 1997 ซึ่ง อดีตนายกฯชวลิตเป็นนายกฯ และ อดีตนายกฯ ทักษิณเป็นรองนายกฯนั้น ยังได้ลงนามสัญญากับ IMF ที่จะทำงบประมาณ เกินดุลงบประมาณ เพื่อเร่งชำระหนี้ IMF ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนขาดกำลังซื้อ
แต่เมื่อรัฐบาลนายกฯชวน เข้ามาแก้ไขปัญหา รมว. คลัง คุณ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ได้ออกโครงการเงินกู้มิยาซาวา ลงทุนโครงการต่างๆที่เงินหมุนลงระบบอย่างรวดเร็ว และช่วยทำให้วงจรเศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อนอีกครั้ง
และเมื่อโลกต้องเผชิญวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตั้งแต่ 2007 เป็นต้นมา ก็ยังดีที่เราได้รัฐบาล นายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งมีคุณ กรณ์ จาติกวณิช เข้ามาแก้ไขปัญหา ตอนนั้น รัฐบาลก็ต้องเร่งจับจ่าย มากกว่าที่เก็บ คือ ต้อง “กู้” เช่นโครงการเช็ค 2,000 บาท โครงการช่วยการศึกษา ทำให้เงินถึงมือประชาชนจับจ่ายได้เร็ว และอีกหลายๆโครงการ เศรษฐกิจฟื้นเร็ว จนรัฐมนตรีคลังของไทย ได้รับรางวัลเป็น “รัฐมนตรีคลังของโลก ปี 2010”
การจับจ่ายของภาครัฐ โดยการกู้นั้น จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม ในเวลาอันสมควร
ในยุคนั้น ฝ่ายคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีการกระพือกระแส “เท็จ” กันมากมายในช่วง พ.ร.ก. และ พ.ร.บ. เงินกู้ไทยเข้มแข็ง ว่า รัฐมนตรี “เด็กวัดกู้” “กู้มาโกง” พ่นสีใส่ร้ายป้ายสีกันอย่างไม่น่าดู ทั้งๆที่ก็ไม่เห็นหลักฐานการโกงจริง
และบ้านเมืองก็ก้าวหน้าขึ้นมาอย่างดี ยอดส่งออกสูงสุดในประวัติศาสตร์ และ คนว่างงานเหลือเพียงต่ำกว่า 1% !
เมื่อพ้นวิกฤต เศรษฐกิจคึกคัก ประชาชนมีกำลังซื้อดีแล้ว เอกชนก็กำลังลงทุนเติบโตได้ดี การลงทุนของภาครัฐก็ยังควรดำเนินต่อได้ แต่ด้วยความ “ระมัดระวัง” เพราะหากมากเกินไป จะเกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ Crowding-out คือ แย่งทรัพยากรจากภาคเอกชนได้
ในสภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มร้อนแรง มีการก่อสร้างมากมาย การใช้จ่ายของภาครัฐ อาจแย่งผู้รับเหมา อาจทำให้ขาดเสาเข็ม ขาดวิศวกรฯ ฯลฯ รวมถึงการแย่งแหล่งเงินกู้ และ แหล่งเงินทุน จากภาคเอกชนได้
แต่หากมองมุมบวก การทำให้ภาพรวมการลงทุน มีการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น อาจจะลดการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบฟองสบู่ (ซึ่งดูยังเห็นไม่ชัด แต่เหมือนเริ่มมีเค้าอยู่บ้าง) ก็อาจจะเหมาะสม เพียงแต่การลงทุนของรัฐพึงระมัดระวังไม่แย่งทรัพยากรจนภาคเอกชนลำบากกัน
3. ขอขอบคุณ “ลูกหลาน” ผมพูดอยู่เสมอว่า การใช้เงินงบประมาณของรัฐ ไม่ใช่ “บุญคุณ” ของผู้ใช้งบประมาณ แต่เป็น “บุญคุณแผ่นดิน” ซึ่งประชาชนไทย ร่วมกันเสียภาษี เพื่อให้มีเงินใช้ จึงไม่ควรที่ใคร จะใช้เป็นบุญคุณส่วนบุคคล และการกู้มาสร้างโครงการ ผู้มีพระคุณกับรุ่นเรา คือ “ลูกหลาน” ของเรา ที่อาจต้องแบกภาระหนี้เหล่านี้
ตัวอย่างโครงการจำนำข้าว หากมีภาระขาดทุนมาก ไม่ว่าจะเป็นขายขาดทุน หรือ เสียหายจากไฟไหม้โกดังเก็บข้าว ก็จะทำให้คนรุ่นเราได้ประโยชน์จากการขายข้าวได้สูงกว่าราคาตลาด แต่เป็นภาระของลูกหลานเป็นผู้รับไปแบกต่อไปได้
4. ขอให้กำลังใจรัฐบาล ต่อต้าน “กู้มาโกง” การกู้เงินครั้งนี้ มหาศาลครั้งนี้ จึงเป็นการผูกภาระรัฐบาลที่จะต้องชำระหนี้ ซึ่งอาจไม่ใช่รัฐบาลนี้ อาจเป็นรัฐบาลต่อๆไป ที่ต้องมารับภาระ อาจไม่ใช่ภาระภาษีของคนยุคนี้ แต่อาจเป็นภาระภาษีของคนยุคลูกหลานของเรา จึงขอให้รัฐบาล ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง อย่างให้เป็นการโกงลูกหลาน เพียงด้วยความเห็นแก่ตัวเรารุ่นเราเอง
ปรกติ ประชาชนกังวลกับ “นักการเมือง” และ “นักธุรกิจการเมือง” แต่รัฐบาลนี้ มีบุคคลน่าเชื่อถือ ที่ถือว่าเป็น “มืออาชีพ” หลายท่าน เช่น ท่านรองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ท่านรัฐมนตรี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ขอเป็นกำลังใจให้อย่างยิ่ง สำหรับการทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนเสมอมา การก่อหนี้ 2 ล้านล้านบาท เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่อาจผูกพันภาระหนี้ไปถึงลูกหลาน และจึงเป็นไปตามคำสอนจากเรื่อง spider man ที่ว่า ... “การมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มาคู่กับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง”
อยากจะฝากรัฐบาลให้ล้างค่านิยม “รัฐบาลโกงได้ ถ้าประชาชนได้ประโยชน์” นี้ไปด้วย เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากการโกง แต่ได้ประโยชน์จากภาษี หรือ กรณีนี้ จากหนี้ของชาติที่อาจผูกพันไปถึงลูกหลาน การโกงมีแต่ทำให้ประโยชน์ประชาชนน้อยลง และทำให้จิตใจคนในสังคมตกต่ำลง
ก็อยากจะสรุปอีกครั้งว่า กู้เงิน 2 ล้านล้าน ขอขอบคุณลูกหลาน ขอเป็นกำลังใจรัฐบาล ร่วมต่อต้าน “กู้มาโกง” ครับ
ขอบคุณภาพจาก AC News
