ตร.ปากน้ำ แจงห้ามรถบรรทุกน้ำเข้าเมืองช่วงสงกรานต์ เพราะทำจราจรอัมพาต
ตร.สมุทรปราการ แจงสาเหตุออกข้อบังคับห้ามรถบรรทุกน้ำเข้าถนน 7 สายกลางเมือง ระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย. เพราะทำรถติดหนึบ-อ้างเคยมีคนตายเพราะส่ง รพ.ไม่ทัน ใครฝ่าฝืนโทษปรับ 1 พันบาท

จากกรณีที่ พล.ต.ต.ธัชชัย หงส์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สมุทรปราการ ในฐานะเจ้าพนักงานจราจร จ.สมุทรปราการ ได้ออกข้อบังคับห้ามรถบรรทุกน้ำเพื่อสาดน้ำเข้าไปในถนน 7 สายในตัวเมือง จ.สมุทรปราการ ได้แก่ (1) ถนนเทศบาลบางปู 46 และถนนเทศบางบางปู 2 (2) ถนนจักกะพาก (3) ถนนสายลวด (4) ถนนท้ายบ้าน (5) ถนนศรีสมุทร (6) ถนนด่านเก่า และ (7) ถนนประโคนชัย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย.2556 เวลา 15.00-20.00 น.
ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวอิศรา” ได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธร จ.สมุทรปราการ เพื่อสอบถามถึงเหตุผลในการออกข้อบังคับดังกล่าว เพราะ จ.สมุทรปราการเป็นเพียง 1 ใน 2 จังหวัดของประเทศไทย ที่มีการออกข้อกำหนดลักษณะเช่นนี้ (อีกจังหวัดได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา)
โดย พ.ต.ท.อนันต์ ชัยชาญ รอง ผกก.จร.สภ.สมุทรปราการ ได้ให้คำตอบว่า เหตุที่ห้ามรถบรรทุกน้ำเข้าถนน 7 สายในตัวเมือง จ.สมุทรปราการ เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ารถบรรทุกน้ำทำให้การจราจรติดขัดจนแทบจะเป็นอัมพาต ที่สำคัญปีนี้ไม่ใช่ปีแรกที่มีการออกข้อบังคับลักษณะนี้ แต่ออกมาเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว
เมื่อถามว่าการออกข้อบังคับดังกล่าวจะขัดกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่ไม่มีข้อห้ามเรื่องการนำรถบรรทุกน้ำมาวิ่งบนถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือไม่ พ.ต.ท.อนันต์ กล่าวว่า ไม่ขัดอย่างแน่นอน เพราะเป็นความต้องการของประชาชน เนื่องจากเวลามีรถบรรทุกน้ำเข้ามา ส่วนใหญ่มักจะจอดแช่เพื่อเล่นน้ำ ทำให้กีดขวางการจราจร จนเคยทำให้มีผู้เสียชีวิตเพราะนำตัวส่งโรงพยาบาลไม่ทันมาแล้ว
ทั้งนี้จากการสอบถามจากชาวบ้านในตัวเมือง จ.สมุทรปราการ ได้รับการยืนยันว่า ในเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย.ของทุกปี บริเวณตัวเมือง จ.สมุทรปราการ การจราจรจะติดขัดมาก โดยเฉพาะถนนจักกะพากที่มีคนออกมาเล่นสงกรานต์อย่างเนืองแน่น อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าทางตำรวจได้ออกข้อบังคับดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อบังคับห้ามรถบรรทุกน้ำเข้าไปในถนน 7 สายในตัวเมือง จ.สมุทรปราการ ออกโดยอาศัยอำนาจจากมาตรา 139 (1) และ (2) แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับครั้งละไม่เกิน 1 พันบาท
อ่านประกอบ
