มหากาพย์การจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง

จากปัญหาการไม่ได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างทั่วถึงของผู้เรียน โดยเฉพาะในจังหวัดที่ไม่มีสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรือมีสถาบันอุดมศึกษาแต่ไม่มีหลักสูตรที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่ จึงทำให้สถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต้องออกมาเปิดศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งของตัวเอง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครที่มักออกมาเปิดศูนย์การศึกษาตามต่างจังหวัด หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีที่ตั้งในส่วนภูมิภาคเองก็มีการเปิดศูนย์การศึกษาในจังหวัดใกล้คียง
เรื่องนี้เมื่อมองอย่างผิวเผินเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาของผู้เรียน และจะส่งผลให้ประเทศชาติมีประชากรที่มีคุณวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น
แต่เมื่อมองให้ลึกลงไปจะพบว่าการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งอาจนำมาซึ่งปัญหาการขาดคุณภาพของการจัดการศึกษา เนื่องจากบางศูนย์การศึกษาอาจเปิดขึ้นเพียงเพื่อซื้อขายปริญญาหรือเพื่อการหารายได้เข้ามหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องคุณภาพการศึกษา อันเป็นลักษณะของการจัดการศึกษาเชิงพาณิชย์ที่ขาดความรับผิดชอบและจรรยาบรรณในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 จึงได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ก็ได้อาศัยประกาศดังกล่าวในการประกาศหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาประเมินคุณภาพการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 โดยในประกาศดังกล่าวระบุว่าสถาบันการศึกษาที่จะจัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ตั้งจะต้องเสนอข้อมูลและหลักฐานต่างๆไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตัวอย่างของข้อมูลที่ สกอ. ต้องการ เช่น เหตุผล ความจำเป็น และวัตถุประสงค์ของโครงการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ข้อมูลของอาจารย์ประจำหลักสูตร/อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ตั้ง และการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งต้องผ่านความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย และสกอ.ยังได้มีการตรวจเยี่ยมศูนย์การศึกษานอกสถานที่ตั้งเพื่อประเมินคุณภาพการจัดการศึกษา
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนเปิดสอนนอกสถานที่ตั้งเป็นจำนวนมาก และสุดท้ายได้กลายมาเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาจำนวนมาก เช่นกรณีของมหาวิทยาลัยอีสานที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ถูกสั่งปิดในวันที่ 31 ตุลาคม 2555 ทั้งด้วยเหตุผลทั้งจากการซื้อขายปริญญาบัตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู และจากเปิดสอนหลักสูตรนอกที่ตั้งโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยถึง 120 ศูนย์
นอกจากนี้ยังมีกรณีของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังย่านฝั่งธนบุรี โดยพบว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีการเปิดศูนย์การเรียนนอกสถานที่ตั้งถึงเกือบ 200 ศูนย์ทั่วประเทศ แต่กลับใช้วิธีนำคนท้องถิ่นที่มีวุฒิปริญญาแต่ไม่เคยสอนหนังสือมาเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตร จึงเป็นไปได้ยากที่จะจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน
ย้อนกลับมาที่ความพยายามของหน่วยงานภาครัฐในการแก้ปัญหาการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งที่ไม่มีคุณภาพ สกอ.ได้มีบันทึกส่งด้วยกันหลายครั้งไปยังมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้ส่งข้อมูลการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง จนในที่สุด สกอ.ได้มีบันทึกข้อความในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 แจ้งว่าสถาบันอุดมศึกษาใดที่ไม่แจ้งเรื่องสถานภาพการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง สกอ.จะจัดให้สถาบันนั้นอยู่ในกลุ่มที่ไม่มีการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ซึ่งในที่สุดแล้วมีด้วยกันทั้งหมด 10 สถาบันทั้งของรัฐและเอกชน (ดูเอกสารได้ที่ www.mua.go.th/users/bhes/front_home/off-campus/index.htm)
แต่มีกรณีที่น่าสนใจ คือ กรณีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐและควรต้องปฏิบัติตามคำสั่งของสกอ. แต่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีไม่ได้ส่งข้อมูลใดๆกลับไปให้ สกอ. ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีซึ่งมีสถานที่ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ได้มีการจัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ตั้งที่จังหวัดบึงกาฬมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เมื่อครั้งยังเป็นอำเภอบึงกาฬในจังหวัดหนองคายจนปัจจุบันกลายมาเป็นอำเภอเมืองในจังหวัดบึงกาฬ โดยได้มีการเปิดศูนย์การศึกษาบึงกาฬในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง มีการรับนักศึกษาในหลายหลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย สาขาวิชาสังคมศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ และหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (ดูเอกสารได้ที่ http://school.obec.go.th/bungkan/file/detail.pdf)
และมีการรับสมัครพนักงานมหาวิทยาลัย (สายวิชาการ) ตำแหน่งอาจารย์ เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ศูนย์การศึกษาบึงกาฬ (ดูเอกสารได้ที่ http://www.jobthaiweb.com/attachgov/index2.php?doc=15806)
ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ สกอ. อย่างเคร่งครัด แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยกลับไม่ได้แจ้งหลักฐานการมีตัวตนและข้อมูลสำคัญอื่นๆของศูนย์การศึกษาบึงกาฬ ทั้งๆที่ได้จัดการเรียนการสอนไปแล้วสิบกว่าปีอันถือได้ว่าเป็น มหากาพย์การจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง อย่างแท้จริง
ความพยายามปกปิดการมีตัวตนของศูนย์การศึกษาบึงกาฬเป็นลักษณะของการให้ข้อมูลเท็จที่อาจส่งผลกระทบกับนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่จำนวนมาก เนื่องจากศูนย์การศึกษาบึงกาฬอาจถูกปิดตัวลงจากการที่ไม่ได้ผ่านการประเมินคุณภาพจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และการตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งจาก สกอ. หรือแม้แต่นักศึกษาที่จบการศึกษาไปแล้วก็อาจถูกถอดถอนปริญญาบัตรด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สกอ.ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา และมีพันธกิจในการตรวจสอบติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ควรที่จะต้องมีการตรวจสอบการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีโดยเร่งด่วน เพื่อไม่ให้นักศึกษาของศูนย์การศึกษาบึงกาฬได้รับผลกระทบดังกล่าวเฉกเช่นกรณีของมหาวิทยาลัยอีสาน
