คอลัมน์ ในวงเล็บ : พันธะ-มิตร

แม้มติของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่ออกมาล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาคือ “ยังไม่ชุมนุม" คัดค้านการกระทำของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่ประกาศจับตาพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดใน 3 กรณีคือ
หนึ่ง มีการดำเนินการใดๆ ที่แตะโดน “สถาบัน” โดยหมายตัดลดพระราชอำนาจหรือไม่
สอง มีการดำเนินการใดๆ เพื่อนิรโทษกรรม “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกหรือไม่
และ สาม เหตุบ้านการเมืองเหมาะสม ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือยัง
หากเข้าเงื่อนไขหนึ่งเงื่อนไขใด “แกนนำพันธมิตร” ก็พร้อม “เป่านกหวีด” เรียก “กำลังพลเสื้อเหลือง” มาชุมนุมใหญ่ทันที
อย่างไรก็ตามในระหว่างรอเหตุและปัจจัย มีการ “อุ่นเครื่อง” ด้วยการตั้งเวทีปราศรัย-ปลุกใจมวลชนตามจังหวัดต่างๆ โดยอาศัยปมรัฐบาล “สร้างหนี้ 50 ปี” ให้คนไทยใช้หัวโต ด้วยการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท
“เสี่ยงทำชาติเสียดินแดน” จากคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งฝ่ายไทยและกัมพูชาต้องกล่าวถ้อยแถลงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ระหว่างวันที่ 15-19 เมษายน ก่อนมีคำตัดสินคดีในช่วงปลายปี
“สอดไส้แก้ไขรัฐธรรมนูญ” เพื่อประโยชน์ของ “คนการเมืองใต้ปีกทักษิณ” ด้วยการเข็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อสั่งสมความเกลียดชังรัฐบาล-สร้างฐานมวลชนใหม่-แสวงหาทุนสนับสนุนเพิ่มเติม เนื่องจากการปลุกม็อบรอบใหม่อาจไม่มีชื่อ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่เคยร่วมเรียง-เคียงรบกันมา ในฐานะ “พันธมิตรใกล้ชิดของกลุ่มพันธมิตร” อีกต่อไป
จริงอยู่ที่ “ขุนพลประชาธิปัตย์” มีศักยภาพในการผัน “มวลชนเสื้อฟ้า” เป็น “กองกำลังเสื้อเหลือง” สามารถแปร “ทุนสนับสนุนพรรค” เป็น “เงินลงขัน” คว่ำขั้วตรงข้ามได้ ทว่าหลายเสียงยืนยันไม่ขอสังฆกรรมกับพรรคการเมืองเก่าแก่
กล่าวกันว่า “คดีดัง” ที่กินใจพันธมิตรแบบสุดๆ หนีไม่พ้น “คดีปิดสนามบิน” ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ขับไล่ “รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ในเดือนพฤศจิกายน 2551 มี “แกนนำ-แกนนอน” ตกเป็นจำเลยทั้งสิ้น 114 ราย ทั้งนี้ “จำเลยร่วม” หลายรายปักใจเชื่อว่า “แกนนำประชาธิปัตย์” จงใจปล่อยไหล หลิ่วตาให้ส่ง “คนเสื้อเหลือง” ตามก้น “คนเสื้อแดง” ไปนอนคุก ก่อนใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองบางประการกับ “ฝ่ายตรงข้าม”
ส่วนอีกเรื่องคือ “คดีวีระ สมความคิด” แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ-แนวร่วมขาสำคัญของพันธมิตร ซึ่งถูกจับ “ติดคุกเขมร” ตั้งแต่สมัย “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และยังรับโทษทัณฑ์อยู่ต่างแดนกระทั่งปัจจุบัน
นี่จึงเป็นเหตุให้ “แกนนำพันธมิตร” มิอาจวางใจปฏิบัติ “พันธกิจกู้ชาติ” ร่วมกับ “มิตรเก่า” ได้
คำถามคือแล้ว “พันธมิตร” จะระดมคน-ระดมทุนจากไหนมาจัดม็อบรอบใหม่?
หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จะรู้ว่านอกจาก “มิตรรัก-แฟนรายการ” ในเมืองไทยแล้ว เขายังมี “แม่ยก” จำนวนมากอยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากเคยไปกิน-อยู่-หลับ-นอนที่นั่นหลายปี ไหนจะเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยยูทาห์ ไหนจะเคยทำธุรกิจหลายๆ อย่าง
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจหาก “สนธิ” จะเดินทางไปอเมริกาปีละหลายหน พบผู้คนในหลายรัฐ เพื่อขยายแนวร่วม “พันธมิตรยูเอสเอ” ล่าสุดเมื่อ 3 เดือนก่อนก็เพิ่งไปจัดรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” สัญจรถึงแอลเอ ขนเงินบริจาคกลับบ้านหลายดอลลาร์
และอย่าได้แปลกใจหากการทำสงครามโค่น “เครือข่ายทักษิณ” หลายต่อหลายครั้ง “เงินลงขัน” จะถูกอิมพอร์ตจากเมืองลุงแซม
ถึงวันนี้ “สนธิกับพวก” อาจทำทีสงบเงียบอยู่ในที่ตั้ง และสงวนปากคำต่อกรณีการนัดชุมนุมใหญ่ ทว่าพวกเขาไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวรับ-ส่งสัญญาณบางประการถึง “ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”
ไม่เช่นนั้นบรรดา “พ่อพระ-แม่พระ” คงไม่ขอตัวจากการร่วม “งานบุญใหญ่” ของ “วัดไทยในต่างแดน” แบบกะทันหัน ด้วยเหตุผลมี “งานใหญ่ (กว่า)” รออยู่
งานนี้เงินพอมี คนรอมา รอเวลา “โค้ชใหญ่” เป่านกหวีดอย่างเดียว!!!
