'โอ๊ค' อัด 'มาร์ค' พูดให้กำลังใจรัฐบาล เหมือนแช่งแพ้คดี 'เขาพระวิหาร'

ในขณะที่การให้การโดยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 ระหว่างฝ่ายไทย และกัมพูชา ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ในวันนี้ (15 เม.ย. 56) โดยศาลโลก เปิดให้ฝ่ายกัมพูชาให้การทางวาจาก่อน
การแสดงความเห็นการต่อพิจารณาคดีนี้ ของคนในประเทศไทย ดูจะมีความร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวซึ่งใช้ชื่อว่า Oak Panthongtae Shinawatra ตำหนิการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ที่ออกมาแสดงความเห็นต่อการพิจารณาคดีนี้ไปก่อนหน้านี้ อย่างรุนแรง
นายพานทองแท้ ระบุว่า " 'ความผิดให้มาร์ค' ให้กำลังใจรัฐบาลแจงศาลโลก ย้ำสู้เต็มที่อย่าโยนใคร" คือพาดหัวข่าว สื่อออนไลน์วันนี้ครับ”
“ให้กำลังใจกัน มันก็ฟังดูเหมือนจะดีนะครับ แต่ผมมาสะกิดใจตรงคำว่า "อย่าโยนความผิดให้ใคร"นี่แหละ...........มันเหมือนแช่งกันยังไงไม่รู้!!”
ซึ่งถ้าคนชื่อ"มาร์ค" ที่พูดคำนี้ไม่ใช่คนดัง ที่ใครๆก็รู้จัก ผมคงคิดว่าคนชื่อมาร์คนี้ เป็นคนเขมร ไม่ใช่คนไทย แล้วละครับ!!
มีอย่างที่ไหน นี่เพียงแค่ยกที่หนึ่ง ที่(นักกฎหมาย)ทีมชาติไทยของเรา ยังไม่ทันได้ออกอาวุธอะไรเลย นี่เป็นเพียงยกแรก ที่ฝ่ายกัมพูชาจะเป็นผู้ที่แถลงต่อศาลโลก วันนี้ (15เมษายน2556) เป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศ เฝ้าดูอยู่ว่ากัมพูชาจะมีถ้อยแถลงอย่างไร และทีมต่อสู้ของไทยเราจะแถลงโต้อย่างไร ซึ่งคิวที่ฝ่ายเราจะเป็นผู้แถลง คือวันที่17เมษายน อีกตั้ง2วัน คนชื่อ"มาร์ค" เตรียมโยนผ้าขาว ยอมแพ้แล้วหรือครับ
คำว่า "อย่าโยนความผิดให้ใคร"เนี่ย ในโอกาสที่เราจะไปแข่งขัน หรือจะไปรบทัพจับศึกกับใคร โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆที่เดิมพันด้วยการเสียดินแดน "ด้ามขวานทองของไทย"แล้ว หากมีใครมาพูดแบบนี้ คนไทยเขาถือครับ คนที่ถือมากหน่อยเขาก็จะว่าเป็นคำอัปมงคล ที่ไม่ควรพูดในวันออกศึกเช่นนี้ คนที่ไม่คิดอะไรก็อาจจะมองในแง่ดีว่า เป็นแค่การกระแนะกระแหน เหน็บนิดหยิกหน่อย จิกกัดผู้อื่นตามกิจวัตรนิสัย ตัวผมเองขอมองกลางๆแล้วกันว่ามัน "ผิดกาลเทศะ" ไปหน่อย
ทำใจให้กว้างๆกันหน่อยครับ เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง ผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นรอง หากเราแพ้คดีเขาพระวิหาร อาจมีบางพรรคฯได้ประโยชน์ทางการเมือง แต่ประเทศชาติเสียประโยชน์ พี่น้องประชาชนเสียใจกันถ้วนหน้า พรรคการเมืองทุกพรรคฯ ควรเชียร์ทีม(กฏหมาย)ไทยกันอย่างจริงใจ ไม่ใช่แทงกั๊ก เผื่อใจ"แอบยอมแพ้" กัน ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
คนจะเป็นผู้นำ อย่าให้ใครเขาBranding เป็นอันขาดว่า "เป็นคนใจแคบ" มันจะติดตัวไปจนตาย ทำอะไรก็ไม่ชนะครับ”
ขณะที่ เว็บไซต์เดลินิวส์ รายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงเฮก หรือเวลา 15.00 น.ตามเวลาประเทศไทย คณะตุลาการของศาลโลก 17 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อรับฟังการให้การทางวาจาของฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้ ภายในห้องพิจารณาดคี มีนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะตัวแทนไทยสู้คดี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นายวรเดช วีระเวคิน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ และพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นั่งแถวหน้า ทั้งนี้ นายปีเตอร์ ทอมกา ประธานศาลฯ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของศาลโลก พร้อมกับขอให้ผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณาคดียืนไว้อาลัยให้ผู้พิพากษาของศาลโลกที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ก่อนเริ่มกระบวนการพิจารณาคดี
จากนั้น นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ในฐานะหัวหน้าคณะของฝ่ายกัมพูชา กล่าวให้การว่า กัมพูชาได้พยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทั้งที่ไทยไม่ได้คัดค้าน แต่ไทยกลับมีการรุกราน ทำให้เกิดการใช้อาวุธในพื้นที่ใกล้เคียงของปราสาทฯ ซึ่งเรื่องนี้ได้ปรากฏในสิ่งพิมพ์ของไทยด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ศาลฯต้องทราบถึงการกระทำของไทยต่อกัมพูชาที่ทำให้บริเวณรอบปราสาทฯได้รับความเสียหาย แต่ไทยกลับทำเหมือนว่าไม่มีข้อพิพาทระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งนี้ เราพยายามนำกลับมาเข้ามาตามวิถีทางทางการทูต แม้ไทยรับคำพิพากษาของศาลฯเมื่อปี 2505 แต่กลับมีปัญหาเรื่องการตีความคำพิพากษา และไทยพยายามลดขอบเขตคำพิพากษา รวมถึงพยายามทำให้ศาลฯมีความไม่แน่ใจในคำพิพากษา กัมพูชาจึงต้องนำมาให้มีการพิสูจน์คำพิพากษา มีการตีความอย่างแท้จริงและเป็นที่สิ้นสุด รวมถึงต้องการให้เรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ตลอดจนความสงบ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพราะหากไม่มีการตีความ เราจะไม่มีความสามารถในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ดังนั้น กัมพูชาหวังให้มีความชัดเจนในการคลี่คลายความขัดแย้งนี้ ศาลฯจึงไม่สามารถปฏิเสธได้
นายนัมฮง กล่าวอีกว่า ไทยพยายามหาช่องโหว่ที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฯ โดยพยายามทำให้ผู้สังเกตจากประเทศอินโดนีเซียตามข้อเสนอของอาเซียน ไม่สามารถเข้ามาสังเกตการณ์การถอนกำลังจากบริเวณปราสาทฯได้ นอกจากนี้ ไทยยังต้องการให้กัมพูชาถอนทหารปราสาทและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทั้งที่ประชาชนชาวกัมพูชาอยู่ในดินแดนที่เป็นอธิปไตยของกัมพูชามาเป็นเวลายาวนาน ทั้งนี้ คำชี้แจงของไทยเป็นการพูดซ้ำซากและแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฯ รวมถึงพยายามสร้างความสับสนต่อคำพิพากษา โดยที่จริงแล้วไทยไม่รู้ว่าวิธีที่จะต่อสู้ จึงพยายามทำให้การดำเนินการในเรื่องนี้มีความล่าช้า
จากนั้น นายฌอง มาร์ค ซอเรล ทนายความชาวฝรั่งเศส ของฝ่ายกัมพูชา กล่าวว่า การตีความคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 ของไทยแสดงให้เห็นว่ายังมีความไม่เข้าใจตรงกัน ซึ่งเห็นได้จากคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของประเทศไทยซึ่งฝ่ายกัมพูชายืนยันว่าศาลโลกมีอำนาจในการตีความคำพิพากษาได้ เพราะข้อปฏิบัติที่ต้องทำยังไม่เป็นที่สิ้นสุด และต้องแยกจากคำพิพากษา อีกทั้ง ทั้ง 2 ประเทศได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งถูกแยกไม่ได้ออกจากหมวดปฏิบัติการ นอกจากนี้ ไทยยังได้ใช้น้ำเสียงที่ดูถูกและเสียดสีตามที่ปรากฏในเอกสารชี้แจงของไทย โดยกล่าวหาว่ากัมพูชากลัวอย่างมาก และเปรียบเทียบคำชี้แจงของกัมพูชาเป็นเหมือนนิยายเรื่อง “อลิซในดินแดนมหัศจรรย” และไทยได้พูดซ้ำหลายทีว่าข้อมูลของกัมพูชามีการนำเสนอที่บิดเบือนนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยคงไม่รู้ว่าจะตอบมา
อย่างไร นอกจากนี้ ไทยต้องการจะบอกว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในไทย แม้ศาลฯได้ตัดสินให้กัมพูชาเป็นเจ้าของแล้ว และศาลฯได้บอกแล้วว่าไม่ต้องการให้มีการตีความ ส่วนการใช้กำลังทหารที่มีอาวุธนั้นก็เกิดขึ้นในเขตแดนของไทยเอง
ในวันเดียวกันที่ประเทศไทย นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งศูนย์ประสานงานติดตามการต่อสู้คดีปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อประสานกับ กระทรวงการต่างประเทศ และทีมกฎหมายที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยรัฐบาลมั่นใจในจุดยืนและข้อมูลหลักฐานที่ฝ่ายไทยมี และก็หวังจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลโลก ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไร ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ และเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจในการทำงานของรัฐบาลและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดโดยใช้เหตุใช้ผล เพราะขณะนี้เป็นเพียงการแถลงด้วยถ้อยวาจายังไม่มีการตัดสิน แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวคือ อาจจะมีกลุ่มการเมืองไปกระตุ้นทำให้เกิดความรู้สึกรุนแรงและอย่ากังวลว่าจะแพ้หรือชนะ เพราะไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร ไทยกับกัมพูชา ก็ยังเป็นเพื่อนบ้านกัน และทำให้เกิดสันติภาพในภูมิภาคนี้ เพื่อเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน และให้กำลังใจทีมกฎหมายพร้อมระบุ ควรจะนำบทเรียนว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงถูกนำขึ้นไปสู่ศาลโลกอีก ซึ่งฝ่ายค้านนั้น รู้ข้อมูลดีที่สุด ส่วนด้านการดูแลประชาชนตามบริเวณแนวชายแดนนั้น ได้ประสานทุกหน่วยงาน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานสิ่งผิดปกติในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มต่อต้านด้วย
