ป.ป.ส.โวยคำวินิจฉัย “ศาล รธน.” กระทบคดีค้ายาข้ามชาติ
วงเสวนา คอ.นธ. "ศาล-อัยการ-ป.ป.ส." รุมข้องใจศาล รธน.มีมติ 5:4 ให้ พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา ขัดรัฐธรรมนูญ ที่ปรึกษา ป.ป.ช.โวยกระทบคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ อ.นิติศาสตร์เสนอแก้ กม.ให้สอดรับกับป.วิอาญา
เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2556 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ได้จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา : การสืบพยานในต่างประเทศ” สืบเนื่องจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เนื่องจากเป็นการส่งประเด็นไปสืบพยานลับหลังจำเลยในต่างประเทศ อันถือว่าขัดกับหลักนิติธรรม
โดย นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการ คอ.นธ.กล่าวว่า เหตุที่ต้องมีการเสวนานี้ขึ้น เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าวินิจฉัยด้วยมติ 5 ต่อ 4 ว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ ได้สร้างความสับสนให้คนในวงการนิติศาสตร์ เพราะกฎหมายนี้ก็ใช้มานาน และเป็นเรื่องสากลระหว่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการสรุปความเห็นจากการเสวนาส่งให้กับรัฐบาล รัฐสภา และผู้เกี่ยวข้องต่อไป
นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการศาลยุติธรรม กล่าวว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) การพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลยบก็มีข้อยกเว้นไว้ เช่นคดีของ น.ส.ดารุณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่ให้เป็นการพิจารณาลับ การออกไปเดินเผชิญสืบ รวมถึงการส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศ ทั้งนี้ สถิติการใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็ไม่ได้มีจำนวนมาก เพราะในปี 2554-2556 มีการส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศแค่เฉลี่ยปีละ 2 คดีเท่านั้น จากคดีที่ศาลยุติธรรมรับไว้พิจารณาถึงปีละกว่า 1 ล้านคดี
ด้าน นายกอบกูล จันทวโร ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้เหมือนเปิดโอกาสให้อาชญากรอ้างว่าการสืบพยานในต่างประเทศใช้ไม่ได้แล้ว และการจะแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวก็ใช้เวลานาน ไม่ต่ำกว่า 5 ปี
“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะกระทบต่อการดำเนินคดียาเสพติดข้ามชาติ รวมถึงคดีอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ เช่น ก่อการร้าย เพราะทำให้การส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศทำไม่ได้อีกต่อไป ทั้งๆ ที่บางคดีพยานไม่กล้ากลับมาให้การในประเทศ เพราะหวั่นกลัวอิทธิพลของจำเลย อย่างคดียาเสพติดที่อาชญากรทำเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่” นายกอบกูลกล่าว
นายเจตน์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ในฐานะกรรมการ คอ.นธ.กล่าวว่า อยากเสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 41 ให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะไม่มีการระบุสิทธิของจำเลยอย่างชัดเจน ต่างกับ ป.วิอาญา มาตรา 172 วิธีนี้ทำได้และยังไม่ต้องชนกับศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
นายสราวุธกล่าวเสริมนายเจตน์ว่า หากจะมีการแก้ไขมาตรา 41 จริง ควรจะเติมว่าถ้อยคำในมาตรา 41 “ให้นำ ป.วิอาญามาบังคับใช้โดยอนุโลม”
ขณะที่ นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ถ้าดูจากเอกสารแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญ คงจะไม่ได้ตีตกมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวตกทั้งหมด น่าจะตีตกเฉพาะกรณีที่ร้องเท่านั้น (คดีอุ้มฆ่านายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย) ยอมรับว่าเรื่องนี้ประหลดมาก เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยเรียกผู้เกี่ยวข้องไปชี้แจง แทบจะรับฟังข้างเดียว อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจน อยากจะรอฟังคำวินิจฉัยฉบับเต็มในกรณีนี้ของศาลรัฐธรรมนูญก่อน
“ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีตกมาตรา 41 ประเทศไทยอาจจะพินาศไปเลย จะทำให้เกิดความเสียหายมาก เพราะมีหลายคดีที่รอส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศ เช่น คดีที่ทางการออสเตรเลียจับคนไทยลักลอบขนเฮโรอีนและยาไอซ์ หนัก 500 กิโลกรัม ใส่แจกันไปในตู้คอนเทนเนอร์แล้วขนไปยังประเทศออสเตรเลีย เพราะพยานหลักฐานทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ” นายวันชัยกล่าว
นายวันชัยยังกล่าวว่า มีทูตคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับตนว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่ให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อิงไปชี้แจงเลย จะทำให้คำวินิจฉัยดังกล่าวเสียไปด้วยหรือไม่ เพราะไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ระบุไว้ในกฎหมาย.

