“กระทรวงหมอ” ยุครัฐบาลเพื่อไทย “รวบอำนาจ-เมินสุขภาพ-เอื้อเอกชน” ?
ภาพลักษณ์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยุครัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับยุครัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งในขณะนั้นมี "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นผู้นำ

(ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ - วิทยา บุรณศิริ)
ว่ากันด้วยมุมมองของประชาชนในฐานะผู้รับบริการ “ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ” ได้ขยายการรักษาพยาบาลครอบคลุมประชาชนยากไร้ มีการจัดทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) สำเร็จ ประชากรร่วม 45 ล้านคน ได้รับประโยชน์ทั่วทุกหัวระแหงชื่นชม ยกย่องให้เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซในความทรงจำ
ขณะที่ “ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์” แม้มีความพยายามลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันทั้ง บัตรทอง ประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ แต่ทว่าก็เป็นไปอย่าง “ขอไปที”
และถึงแม้ว่าจะทำคลอดนโยบายสุขภาพมาตรฐานเดียวได้สำเร็จ แต่ก็เป็นไปอย่าง "ครึ่งๆ กลางๆ" บางนโยบายที่ประกาศใช้และดูเหมือนว่าจะดี อาทิ เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว ก็ไม่สามารถใช้ได้จริงตามที่ได้กล่าวอ้าง
นอกจากนี้ 2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมอ ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้ง “นายวิทยา บุรณศิริ” มาจนถึง “นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์” มีความพยายามแทรกแซงระบบ และเอื้อประโยชน์ให้กับ “ธุรกิจเอกชน” อย่างออกหน้าออกตา
ย้อนกลับไปยุคนายวิทยา มี 2 ความพยายามที่ชัดเจน 1 สำเร็จ แต่อีก 1 ถูกคัดค้าน จนต้องล้มเลิก
ที่สำเร็จคือการ “ยึด” สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หน่วยงานที่ดูแลสิทธิประโยชน์ผู้ใช้บัตรทองทั่วประเทศ โดยทันทีที่นายวิทยาเข้าดำรงตำแหน่ง ขั้วอำนาจในคณะกรรมการ (บอร์ด) สปสช.ถูกพลิกขั้ว
โครงสร้างบอร์ด สปสช.ทั้ง 30 คน ประกอบด้วยผู้แทนภาคประชาชน 5 คน ผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข 5 คนผู้แทนหน่วยงานราชการ 8 คน ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 4 คนของรมว.สาธารณสุข 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ (ที่ได้รับแต่งตั้งจากบอร์ด สปสช. 23 คนแรก) อีก 7 คน
แน่นอนว่าเสียงของผู้แทนหน่วยงานราชการ-อปท. จะเทตามบัญชาของ รมว.สาธารณสุข นั่นหมายความว่า รมว.สาธารณสุข กุมเสียงไว้ทั้งหมด 13 เสียง
ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปี 2554 ก่อนได้บอร์ดชุดปัจจุบันเสียงภาคประชาชน-ผู้ทรงคุณวุฒิ จะผนึกเข้ากับ รมว.สาธารณสุข เสมือนหนึ่งลดทอนและจำกัดบทบาทผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข (กลุ่มแพทย์โรงพยาบาลเอกชน)
ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุควิทยา กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กล่าวคือทั้ง 13 เสียง ได้ควบรวมเข้ากับเครือข่ายแพทย์เอกชน-สภาวิชาชีพอย่างเหนียวแน่น จนสามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทย์เอกชน-นายทุนอีก 7 เสียง ได้สำเร็จ
ยึดบอร์ด สปสช.ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จากนั้น มีความพยายาม “ยึด” ระบบยา แต่ทว่าถูกคัดค้านจนต้องพับลง
ปัจจุบันคณะกรรมการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ "กลไกราคายา" มี 2 ชุด หนึ่งคือ “คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ” มีนายกฯ เป็นประธาน คณะกรรมการมาจากหลายภาคส่วน มีอำนาจกำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยา ให้ความเห็นด้านการใช้ยาแก่ ครม.รวมถึงจัดทำบัญชียาหลักแห่งชาติ และกำหนดราคากลางยาในการจัดซื้อ
อีกหนึ่งคือ “คณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่าย ค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางการแพทย์” มี รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน คณะกรรมการประกอบขึ้นจากฝ่ายการเมืองข้าราชการประจำ ผู้บริหารกองทุนสุขภาพ มีหน้าที่ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาให้เหมาะสม สร้างกลไกการต่อรองราคายา ควบคุมการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติของกองทุนสุขภาพ
สำหรับกรรมการชุดแรก มี “หัวใจ” อยู่ที่คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดราคากลางยา และอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาปฏิบัติภารกิจเต็มศักยภาพ ต่อรองราคายาจนบริษัทยาข้ามชาติเสียราคา สูญเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล
ทว่า “วิทยา” พยายามจะโยกอนุกรรมการ 2 คณะข้างต้น มาอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการชุดตัวเอง ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็เท่ากับสามารถควบคุมกลไกการต่อรองราคาและการกำหนดราคากลางยาได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะโครงสร้างคณะกรรมการประกอบด้วยฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ จึงมีลักษณะบนลงล่างตามแต่การเมืองจะบัญชา
โชคยังดีที่สังคมจับตาอย่างใกล้ชิด ที่สุดแล้วการผลักดันของนายวิทยาเป็นต้องล้มเหลว
เข้าสู่ยุค “นพ.ประดิษฐ” เป็นไปอย่างเรียบร้อย ด้วยรัฐมนตรีมีบุคลิกประนีประนอม และไม่ใช่นักการเมืองอย่างที่ผ่านๆ มา ระยะแรกมีความเชื่อมั่นว่า นพ.ประดิษฐ ซึ่งยังเป็น “นายแพทย์” จะเข้าใจบริบทของ สธ. และนำพากระทรวงไปในทางที่ดียิ่งขึ้น
ทว่าล่วงเลยมาสักระยะ พบ “สัญญาณ” ซึ่งถูกส่งผ่านนโยบายต่างๆ เร้าให้เคลือบแคลงในเจตนา
เริ่มตั้งแต่ การรวบอำนาจด้านสุขภาพทั้งหมดมาไว้ในมือ ด้วยการประกาศนโยบาย “พวงบริการ”
หลักการคือ รวมโรงพยาบาล 5-6 จังหวัดในพื้นที่ใกล้เคียงกันเข้าเป็นพวงบริการเดียวกัน แต่ละพวงจะดูแลประชากรราว 5 ล้านคน ประโยชน์คือจะสามารถจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์รวม แบ่งปันทรัพยากรและสถานที่ พร้อมกันนี้ เตรียมปรับวิธีการจ่ายเงินของ สปสช.ให้หน่วยบริการ เดิมโรงพยาบาลต้องเบิกจาก สปสช.เอง แต่จากนี้จะโอนงบเหล่านั้นไปยังเขตบริการทั้ง 12 เขต ให้ผู้ตรวจราชการ สธ.เป็นผู้ควบคุมดูแล
นอกจากนี้ นพ.ประดิษฐ ยังสั่งการให้ปฏิรูป สธ. โดยส่งสัญญาณ “ยึดคืน” อำนาจขององค์กรอิสระ “ตระกูล ส.” ประกอบด้วย สปสช. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.)
อธิบายให้เข้าใจโดยง่าย เดิมทีหน่วยงาน "ตระกูล ส." ตั้งขึ้นมาเพื่ออุดช่องโหว่ของ สธ. ที่ไม่สามารถดำเนินภารกิจให้บรรลุเป้าประสงค์ได้ เนื่องด้วยมีข้อจำกัด อาทิ เงื่อนไขระบบราชการความไม่เป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมือง โดยแต่ละองค์กรมี พ.ร.บ.จัดตั้งเป็นการเฉพาะ
ทว่า หลังจากนี้ นพ.ประดิษฐ จะบริหารโดย “จัดกลุ่มภารกิจ” กล่าวคือองค์กรใดมีภารกิจคล้ายคลึงกันก็จะนำมาจัดอยู่ด้วยกัน โดยให้อำนาจรองปลัด สธ.เป็นผู้ดูแล นั่นหมายความว่า “ตระกูล ส.” จะถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภารกิจเท่านั้น
ที่สำคัญ นพ.ประดิษฐ เตรียมตั้ง "คณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณสุขแห่งชาติ (คสช.)" ขึ้น มีฝ่ายการเมืองเป็นกรรมการ ทำหน้าที่ “ครอบ” นโยบายด้านสุขภาพของประเทศ หากองค์กร "ตระกูล ส." ต้องการทำอะไร ต้องขอไฟเขียวจาก คสช. ก่อน
สาเหตุที่เชื้อเชิญให้ฝ่ายการเมืองต้องยึดคืนอำนาจ “ตระกูล ส.” นั่นเป็นเพราะมีงบประมาณมหาศาล สปสช. มีงบบริหารและกองทุน 150,000 ล้านบาท สสส.มี 3,000 ล้านบาท สพฉ.มี 950 ล้านบาท สช.มี 300 ล้านบาท สวรส.มี 120 ล้านบาท และ สรพ.มี 100 ล้านบาท
เท่านั้นยังไม่พอ นโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย และ นพ.ประดิษฐ ยังเปิดช่องให้ธุรกิจเอกชน อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
เริ่มตั้งแต่การเข้าสู่อำนาจ นพ.ประดิษฐ อ้างว่า เพื่อไม่ให้กระทบบริการสุขภาพประชาชนที่รักษาในโรงพยาบาลรัฐ ดังนั้นจะผลักดันเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนรองรับนโยบายศูนย์กลางทางการแพทย์ (เมดิคัล ฮับ)
จากนั้นไม่นานมีการปรับ “เกณฑ์ค่ารักษาพยาบาล” ของโรงพยาบาลรัฐเพิ่มขึ้น โดยอ้างเหตุผลจากค่าแรง ซึ่งเท่ากับเปิดทางให้โรงพยาบาลเอกชนปรับค่ารักษาเพิ่มขึ้นได้อย่างชอบธรรม
สอดคล้องกับนโยบายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่ง นพ.ประดิษฐ ยอมรับว่า จะเปิดให้กลุ่มทุนในภูมิภาคอาเซียนเข้ามาถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนของไทยได้ 70% เสริมแรงเพิ่มขึ้นอีกจากมติ ครม. ที่ขยายเวลาพำนักของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเพื่อรับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยจาก 30 วัน เป็น 90 วัน
ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดโรดโชว์ด้านสุขภาพในหลายประเทศ โดยจะผนึกคลินิก 2 แห่งโรงพยาบาล 2 แห่ง คลินิกทันตกรรม 2 แห่ง และสปา 2 แห่ง เข้าด้วยกัน เป็นแพ็กเกจการรักษาพยาบาลและการท่องเที่ยว "ครบวงจร" นอกจากนี้จะตั้งคณะกรรมการเยียวยานักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหากได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยด้วย
นี่เป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ ภายใต้การทำงานของ นพ.ประดิษฐ
ที่ผ่านมา ยุคนายวิทยา มีความพยายามเดินหน้านโยบาย “สุขภาพมาตรฐานเดียว” โดยยังมีโครงการค้างคา อาทิ เอดสร์มาตรฐานเดียว ไตมาตรฐานเดียว และมะเร็งมาตรฐานเดียว ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุค นพ.ประดิษฐ สิ่งเหล่านี้กลับถูกเมินเฉย แทบไม่มีความคืบหน้าใด
เกิดเป็นข้อวิพากษ์ สธ.ยุคนี้ ไม่สนใจสุขภาพประชาชน ยังแต่ครอบครองอำนาจและเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจเอกชนเท่านั้น !!!
