สภาดันนิรโทษสำเร็จ ปชป.ชี้ฝังระเบิดเวลา อัดจุดชนวนขัดแย้ง
เมื่อเวลา 10.30น.วันที่ 18เมษายน มีการประชุมร่วมรัฐสภา โดยมี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาเป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากำหนดวันแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตราต่อเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)เสนอให้แปรญัตติ 60 วัน แต่มีปัญหากรณีองค์ประชุมไม่ครบ
สภาป่วนปชป.ซัดประชุมเถื่อน
บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างวุ่นวายเมื่อสส.พรรคปชป.ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นการประชุมเถื่อนเนื่องจากวาระการขอแปรญัตติจบไปแล้วเพราะองค์ประชุมล่ม นายสมศักดิ์ไม่สามารถเรียกประชุมได้อีก ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป. ก็ชี้ว่า นายสมศักดิ์ต้องยอมรับก่อนว่าองค์ประชุมไม่ครบถึงจะลงมติใหม่ได้
ขณะที่นายสมศักดิ์ ยังยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ตามข้อบังคับแล้ว โดยอ้างว่า เมื่อองค์ประชุมไม่ครบก็เท่ากับต้องกลับไปยึดตามข้อบังคับเดิมโดยอัตโนมัติคือ15 วัน ถือว่าทำถูกต้องตามขั้นตอนแล้วไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ และตามข้อบังคับก็ได้ระบุชัดเจนว่า 15วัน นับแต่การลงมติซึ่งก็คือวันที่ 4 เม.ย.และจะครบกำหนด 15วัน ในวันที่ 19 เม.ย.
สมศักดิ์หักดิบ-ปชป.วอคท์เอ้า
จากนั้นจึงได้ตัดบทด้วยการให้ที่ประชุมลงมติทันที ท่ามกลางกาประท้วงของส.ส.จากฝั่งพรรคปชป.ได้วอร์คเอ้าออกจากห้องประชุมทันที โดยนายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคปชป. เดินไปหน้าบัลลังก์พร้อมชูกระดาษที่เขียนคำว่า “เผด็จการ”ต่อหน้าที่นั่งนายสมศักดิ์เพื่อเป็นการประท้วงด้วย ก่อนที่จะสั่งปิดประชุมทันทีในเวลา11.45น.
สำหรับผลการลงมติปรากฎว่าที่ประชุมลงมติเห็นด้วยให้กำหนดวันแปรญัติตามเดิมคือ 15 วันด้วยคะแนน 356เสียง ต่อ19 เสียงงดออกเสียง 33 เสียงและไม่ลงคะแนน 5 เสียง
อัดปธ.ซอมบี้-ยื่นปปช.ถอด
ต่อมาสส.พรรคปชป.นำโดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และนายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. ได้ร่วมแถลงตำหนิพฤติกรรมของนายสมศักดิ์ว่าเป็นประธานซอมบี้เพราะจงใจกระทำการขัดรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ซึ่งจะยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.เพื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับนายสมศักดิ์ในสัปดาห์หน้า และจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง3ฉบับว่าเข้าข่ายล้มล้างรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68
ถกเดือดเลื่อนร่างพรบ.นิรโทษ
ต่อมาเวลา 16.40 น. นายวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคพท.ได้เสนอให้เลื่อนร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ...ขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระแรก ขณะที่ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายยุสกิจ อัถโถปกรณ์ นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ลุกขึ้นค้านอย่างดุเดือด โดยสส.ฝ่ายค้านอ้างว่า การเลื่อนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เป็นการทำตามใบสั่งและเอื้อประโยชน์แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และจะทำให้เกิดการขัดแย้งแตกแยก ขณะที่คนเสื้อแดง ไม่ได้ประโยชน์ ใดๆ เพราะได้รับการปล่อยตัวไปหมดแล้ว
แกนนำแดงอ้างไม่ได้อานิสงส์
ทั้งนี้ในระหว่างการอภิปรายมีการประท้วงเป็นระยะ โดยสส. พท.ที่ลุกขึ้นสนับสนุน ได้แก่นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท โดย นายวิภูแถลง ยืนยันว่า ไม่ขอรับอานิสงส์จากกฎหมายฉับนี้
เช่นเดียวกับนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำนปช.ที่ยืนยันว่า แกนนำนปช.จะไม่ได้รับอานิสงค์ในการนิรโทษกรรม พร้อมยืนยันว่า พวกตนพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สาทิตย์ชี้เหมือนฝังระเบิดสภา
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.ตรัง อภิปรายว่า การเลื่อนกฎหมายนี้ขึ้นมา เสมือนเป็นการเร่งความขัดแย้งให้เกิดเร็วขึ้น ดังนั้น การนำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเสมือนกับการเติมเชื้อไฟ หรือนำระเบิดอีกลูกมาฝังในสภาฯ พร้อมกับเห็นว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ตีสองหน้ามาโดยตลอด โดยชอบโยนว่าเป็นเรื่องของสภาฯ ส่วนตัวยังคิดว่าต้องถอนกฎหมายฉบับนี้ก่อนแล้วค่อยไปสานเสวนา
“วรชัย”อ้างทำเพื่อคนทุกสี
ด้านนายวรชัย กล่าวว่า ตนเสนอร่างพรบ.นี้ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์เพื่อลดความขัดแย้ง โดยการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองทั้งหมด ไม่ได้คิดถึงคนกลุ่มใด แต่คิดถึงคนไทยทุกคนทุกสีเสื้อแม้แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งจะเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ออกมาคัดค้าน เราต้องการนิรโทษทุกสีเพื่อความสงบของประเทศ
“ดังนั้นตนจึงขอร้องฝ่ายค้านว่าขอให้เห็นใจพี่น้องประชาชนที่ติดคุก และร่วมแรงร่วมใจนับหนึ่งประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในการออกพรบ.นิรโทษกรรมทุกสีเสื้อ”นายวรชัยกล่าว
ใช้เสียงมากลากลัดคิวสำเร็จ
หลังจากที่มีการอภิปรายกันมาเป็นเวลาพอสมควรนายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้ได้มีการอภิปรายมาพอสมควรแล้วตนจึงขอให่ประธานสั่งปิดการอภิปรายและลงมติทันที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้นยังคงมีการโต้เถียงกันไปมาท้ายที่สุดเมื่อเวลา 18.40 น.นายวิสุทธิ์ ไชยอรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ที่ทำหน้าที่การประชุมในขณะนั้นได้สั่งปิดการประชุมและให้มีการลงมติทันที ปรากกฎว่าสมาชิกในที่ประชุมเห็นด้วยให้มีการเลื่อนวาระร่างพรบ.นิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาก่อน 283 ต่อ 56 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 4 เสียง จากนั้นที่ประชุมได้เข้าสู่วาระการประชุมในวาระต่อไปทันที
“เจริญ”นัดถก6กลุ่มหาทางออก
ด้านนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 2 กล่าวถึงการเดินหน้าผลักดันร่างพรบ.นิรโทษกรรมว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ตนจะออกจดหมายเชิญ 6 กลุ่มมาหารืออีกครั้งได้แก่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดง พรรคปชป. พรรคพท. พรรคภูมิใจไทยและทหาร
"ปู"ปัดเพื่อแม้ว-ปัดสวะโยนสภา
ส่วนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเลื่อนการพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนว่า เรื่องนี้ ถือเป็นกลไกที่สมาชิกรัฐสภา ต้องมาถกเถียงกันและให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และยืนยันว่า การเสนอพรบ.นิรโทษดังกล่าวไม่ได้ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะการทำเพื่อคนๆเดียวทำไม่ได้อยู่แล้ว
แฉปรองดอง“เฉลิม”ล้างผิดหมด
วันเดียวกันร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้แจกจ่ายร่างพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ...พร้อมกับให้สัมภาษณ์ว่า เป็นร่างที่ตนยกร่างไว้นานแล้วมีทั้งหมด 6 มาตรา โดยเนื้อหาสาระสำคัญเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.49 จะได้รับล้างความผิดทั้งหมดไม่ยกเว้นบุคคลหนึ่งบุคคลใด และไม่มีเรื่องการเงินมาเกี่ยวข้อง ตนจะเดินทางรณรงค์ในช่วงที่สภาฯปิดเริ่มจากวันที่ 27 เมษายนที่ จ.ขอนแก่นจากนั้นจะเดินสายทั่วอีสาน
40สว.ยันเกินครึ่งค้านนิรโทษ
ขณะเดียวกันกลุ่ม 40 สว.นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา และน.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี ได้ร่วมกันแถลงคัดค้านการออกพรบ.นิรโทษกรรมเพราะไม่เป็นการบังควรอย่างยิ่งที่จะนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่กระทำผิดต่อองค์พระ มหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สมาชิกรัฐสภา และเชื่อว่าสว.เกินครึ่งจะไม่รับร่างดังกล่าว
ส.ส.-สว.เปิดศึกชนศาลรธน.
ทางด้านส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และส.ว.รวม 30 คน นำโดยนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ในฐานะรองประธานวิปรัฐสภา นายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล ในฐานะรองประธานวิปรัฐสภา และนายกฤษ อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร แถลงข่าวอ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจาก นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญขอแถลงไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
และขอโต้แย้งการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีรับคำร้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาตามมาตรา 68 เนื่องด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจนิติบัญญัติ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ดังนั้นศาลไม่มีอำนาจมาสั่งให้ฝ่ายนิติบัญญัติหยุดหรือห้ามออกกฎหมาย เพราะเป็นการแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ
แก้ม.68ไม่ล้มล้างการปกครอง
นายดิเรก กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ครั้งนี้ไม่มีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่ต้องการแก้ไขความคลุมเครือ ให้ชัดเจนว่าการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องผ่านอัยการสูงสุด ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ทั้งในรัฐธรรมนูญปี40มาตรา63และถูกถ่ายทอดมาเป็นมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน รวมทั้งเอกศาลคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญที่เผยแพร่ประชาชนระบุชัดว่าการยื่นคำร้องต้องผ่านอัยการสูงสุด
ทั้งนี้สมาชิกรัฐสภาที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะร่วมลงชื่อในเอกสารคำชี้แจงซึ่งมีเนื้อหามีลักษณะเป็นคำโต้แย้งอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไปภายใน 15 วัน ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือให้สมาชิกรัฐสภาชี้แจง
ปธ.วิปรบ.แถลงการณ์อัดศาล
ด้านนายอำนวย เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์สมาชิกรัฐสภาโจมตีศาลรัฐธรรมนูญว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องไว้พิจารณาอาจเข้าข่ายจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ผลของการกระทำดังกล่าวจะทำลายรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสำคัญ
จึงร่วมประกาศเจตนารมณ์ 1.ศาลรัฐธรรมนูญย่อมต้องผูกพัน และปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้อำนาจย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 97และมาตรา 291 2.การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาตามมาตรา 68 ได้นั้นต้องเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
ซัด5ตุลาการเร่งรีบเรียกประชุม
3.การทำหน้าที่ในการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีมาตรา 68 ขาดมาตรฐานอันยากที่จะยอมรับและปฏิบัติตามได้ 4.การที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน แต่มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญติดภารกิจไปต่างประเทศ 4 คน จึงเหลือตุลาการเพื่อปฏิบัติหน้าที่เพียง 5 คนเป็นการเร่งรีบประชุม และแตกต่างจากกรณีไต่สวนคำร้องของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ได้รอตุลาการจนครบ
ชนศาลรธน.ไม่มีอำนาจมาห้าม
และ5.การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเป็นอำนาจของรัฐสภา โดยเฉพาะตามมาตรา 291 องค์กรอื่นใดไม่มีอำนาจทั้งสิ้นที่จะสั่งห้ามหรือระงับ ดังนั้นขอยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานผู้แทนปวงชนชาวไทย และคงไว้ซึ่งหลักการแบ่งแยกอำนาจ และเกียรติภูมิของรัฐสภา จะดำเนินการที่เหมาะสมตามกรอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากในระหว่างนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรัฐสภาจะไม่ยุติการการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายกฤช กล่าวว่า ขอขณะนี้อย่าเพิ่งคาดเดา เพราะในอนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่วันนี้เป็นการโต้แย้งศาลไม่มีอำนาจสั่งการให้สมาชิกรัฐสภาไปชี้แจง ซึ่งสามารถกระทำได้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ขอบคุณข่าวจาก

