ไทยโต้เขมรทุกประเด็น "วีรชัย"อัดกลับไปกลับมา วอนศาลโลกอย่ารับตีความ
“ไทย” แจงศาลโลกคดีพระวิหารรอบสุดท้าย ย้ำแผนที่ 1:200,000 มีปัญหา ใช้ไม่ได้ในโลกจริง “วีรชัย” อัด “กัมพูชา” กลับไปกลับมาตลอด 50 ปี ชี้คำร้องเขมรไม่เข้าเกณฑ์ตีความ-ศาลรับพิจารณาไม่ได้

(วีรชัย พลาศรัย)
เมื่อวันที่ 19 เม.ย.2556 ตัวแทนฝ่ายไทยที่นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ขึ้นให้การด้วยวาจาในรอบที่ 2 ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในคดีที่ประเทศกัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505
นายอแลง แปลเล่ต์ ทนายความชาวฝรั่งเศส ในฐานะทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า ศาลโลกไม่ควรรับคำร้องนี้ของประเทศกัมพูชา เพราะประเทศไทยได้ปฎิบัติตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 มาโดยตลอด ทั้งการถอนทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่ศาลตัดสินว่าอยู่ใต้อธิปไตยของประเทศกัมพูชา การนำวัตถุที่ได้จากปราสาทพระวิหารไปคืนประเทศกัมพูชา ที่สำคัญเมื่อกษัตริย์กัมพูชาไปเยือนปราสาทพระวิหารในปี 2507 ก็ไม่ได้ประท้วงแนวรั้วลวดหนาม ที่ประเทศไทยทำไว้รอบปราสาทพระวิหาร แถมยังบอกว่ายื่นมาแค่ 2-3 เมตร ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
น.ส.อลินา มิรอง ทนายความชาวฝรั่งเศส ในฐานะทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า แผนที่ภาคผนวก 1 ต่อแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เป็นแผนที่ที่มีปัญหาการถ่ายทอดลงในแผนที่ปัจจุบัน หรือลงในภูมิศาสตร์จริง เพราะไม่ว่าจะยึดสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ หรือภูเขาและแม่น้ำ ก็จะได้สิ่งที่คลาดเคลื่อนหมด ทั้งนี้ พื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร ประเทศกัมพูชาไม่เคยอ้างเมื่อปี 2505 แต่เพิ่งมาอ้างระหว่างปี 2549-2556 ดังนั้น นี้จึงเป็นข้อพิพาทใหม่ ไม่ใช่ข้อพิพาทเดิม ศาลจึงไม่อาจรับไว้ตีความได้
“การถ่ายทอดเส้นตามแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งเป็นแผนที่เก่ามาในภูมิศาสตร์ปัจจุบัน มีความคลาดเคลื่อน เราอยู่ในโลกจริงไม่ใช่โลกจินตนาการ ฝ่ายกัมพูชาอ้างแผนที่ โดยไม่ได้พูดถึงการถ่ายทอดเส้นในแผนที่ มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเลย” น.ส.มิรองกล่าว
นายโดนัลด์ แม็คเรย์ ทนายความชาวแคนาดา ในฐานะทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า ในข้อบทปฎิบัติการที่ออกตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ไม่มีการพูดถึงการกำหนดเขตแดนโดยใช้แผนที่ภาคผนวก 1 แต่อย่างใด โดยคำว่า “บริเวณใกล้เคียง” ที่ปรากฎในข้อบทปฎิบัติการหมายถึงรอบๆ ปราสาทพระวิหาร และไม่มีการพูดถึงแผนที่ภาคผนวก 1 แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลชัดเจนว่าบอกเพียงว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของประเทศกัมพูชา แต่ฝ่ายกัมพูชาก็พยายามตีความ โดยใช้วิธีการแบบไสยศาสตร์ เดาใจว่าศาลจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายกัมพูชาติดกับดัก เพราะมองข้ามข้อเท็จจริง โดยไปมองคำว่าบริเวณใกล้เคียงแทนคำว่าเขตแดน
“เราไม่เชื่อว่าศาลโลก เมื่อปี 2505 พยายามกำหนดเส้นแดนโดยใช้คำว่าบริเวณใกล้เคียง มันไม่มีอะไรที่กำหนดเจาะจงเช่นนั้น” นายแม็คเรย์กล่าว
ด้าน นายเจมส์ ครอว์ฟอร์ด ทนายความชาวออสเตรเลีย ในฐานะทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาพยายามอ้างว่าคำพิพากษาเมื่อปี 2505 เท่ากับยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นสนธิสัญญาโดยปริยาย ซึ่งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีการอ้างเช่นนี้มาก่อน และหากศาลจะให้แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นสนธิสัญญาจริง เหตุใดจึงไม่มีการระบุไว้ในข้อบทปฎิบัติการที่ออกตามคำพิพากษาเลย
ท้ายสุด นายวีรชัย กล่าวสรุปว่า ประเทศไทยมีความคงเส้นคงวาในการปฎิบัติตามคำพิพากษาเมื่อปี 2505 มาโดยตลอด แม้จะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าวก็ตาม ต่างจากประเทศกัมพูชา ที่ขาดความคงเส้นคงวา เช่นในปี 2505 เดิมขอให้วินิจฉัยเรื่องอำนาจอธิปไตย ต่อมาขอให้วินิจฉัยเรื่องเส้นเขตแดนเพิ่ม ไม่แปลกที่ศาลเวลานั้นจะปฎิเสธ มาในปัจจุบัน ก็ยังยื่นแผนที่ภาคผนวก 1 ที่ไม่เหมือนแผนที่ภาคผนวกที่เคยยื่นไว้เมื่อปี 2505
“ความไม่คงเส้นคงวาของประเทศกัมพูชา คือข้อเรียกร้องที่มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ที่มีการขอให้ตีความข้อปฎิบัติการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายวีรชัย กล่าว
นายวีรชัย ยังกล่าวว่า ถ้าถ่ายทอดเส้นเขตแดนจากแผนที่ภาคผนวก 1 ตามอำเภอใจยังจะทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นอีก ที่สำคัญ การกลับลำของกัมพูชาในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ยังอาจทำให้สิ่งที่ศาลโลกเมื่อปี 2505 คำนึง คือลดความตึงเครียด การเผชิญหน้าระหว่าง 2 ประเทศ เสียเปล่า นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังขอให้ศาลวินิจฉัยว่า ไม่มีอำนาจรับคำร้องของฝ่ายกัมพูชาวิจารณา เพราะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ 60 ของข้อบังคับศาลโลก หรือคำร้องดังกล่าวไม่มีมูลให้ตกไป
หลังนายวีรชัยกล่าวจบ นายปีเตอร์ ทอมก้า ประธานองค์คณะศาลโลก กล่าวว่า จะขอยุติการนั่งพิจารณา สำหรับคำวินิจฉัยและจะประกาศในเวลาที่เหมาะสม
