“ล่ามคดีพระวิหารแปลได้ดี” นายกสมาคมล่ามไทย การันตี

ตลอด 4 วัน ของการให้การด้วยวาจาของ ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ทั้ง "ฝ่ายไทย" และ "ฝ่ายกัมพูชา" สลับกัน ในคดีที่กัมพูชาขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505
คนไทยที่ติดตามการถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 หรือคลื่นเอเอ็มและคลื่นเอฟเอ็ม คงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศระอุ ของการโต้แย้งจากทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยข้อมูลเอกสารพยานหลักฐาน รวมไปถึงวาทกรรมอันเชือดเฉือน
แต่ท่ามกลางเสียงชื่นชมการทำหน้าที่ตัวแทนฝ่ายไทย ที่นำโดย “วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในอีกด้าน กลับมีเสียงวิจารณ์การทำหน้าที่ของ “ล่าม” ผู้แปลความสิ่งที่พูดกันในศาลโลก ทั้งจากภาษาอังกฤษหรือภาษฝรั่งเศส ให้มาเป็นภาษาไทย อาทิ แปลไม่รู้เรื่อง มีคำว่า เอิ่ม..อ่า.. ซึ่ง.. เยอะไป ฯลฯ เป็นต้น
ซึ่งต่างจากมุมมองของ “จงจิต อรรถยุกติ” นายกสมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย ที่เข้าใจดีว่าภารกิจการ “แปลงสาร” สด ๆ จากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง ให้ผิดพลาดจาก “ต้นฉบับ” เป็นสิ่งที่ยากมาก
“แต่ล่ามในคดีพระวิหารทำหน้าที่ได้ดี”
เหตุใดเธอจึงกล่าวเช่นนั้น ลองติดตามอ่านจากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ดู...
----
กระบวนการสรรหาล่ามในประเทศไทย
โดยทั่วไป ผู้ที่จะใช้ล่าม ต้องรู้ความประสงค์เฉพาะของตัวเอง ที่สำคัญมาก คือต้องตัดสินใจว่า คุณอยากได้ล่ามระดับไหน เช่น อาจจะบอกว่าไม่เอาล่ามซีเนียร์ เอาล่ามจูเนียร์ แค่พอช่วยแปลได้ เพราะค่าตัวจะต่างกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม จรรยาบรรณล่ามเบื้องต้น คือไม่ว่าคนฟังจะมีแค่คนเดียว หรือ 1 พันคน ก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่ แต่คนที่จ้างมาก็ต้องบอกให้ชัดว่าอยากได้ล่ามไปทำอะไร ที่สำคัญจะต้องให้ข้อมูลแก่ล่ามอย่างเพียงพอ เพราะล่ามก็ถือเป็นคนนอก ทั้งนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะรับงานนั้นหรือไม่ เพราะบางงานหากล่ามไม่เชี่ยวชาญ อาจจะแนะนำให้ล่ามคนอื่นที่เชี่ยวชาญมากกว่าไปทำหน้าที่แทน
ซึ่งตามทั่วไป จะมีการนำเอกสารหรือข้อมูลมาให้ล่ามดูล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัว
มาตรฐานการทำงานของล่ามคืออะไร
อยู่ตรงที่ทำงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยล่ามเองก็จำแนกได้หลายประเภท อย่างล่ามการประชุม ที่ทำงานโดยฟังผู้พูด พูดผ่านหูฟัง แล้วแปลออกไป ซึ่งล่ามอาชีพมักไม่ชอบการที่ต้องฟังจนผู้พูดพูดจบ เพราะต้องมานั่งจำ แต่เราก็เน้นว่าอาจต้องจดบางประเด็น จะได้แปลไม่คลาดเคลื่อน แต่บางทีต้นฉบับลืมตัวพูดยาว หรือล่ามนั่งห่างจากผู้พูดมากๆ ก็ลำบาก ดังนั้นถ้าจะใช้ล่ามในลักษณะเช่นนี้ ต้องคุยกันให้ชัดเจนถึงลักษณะการทำงาน หรือจัดที่ให้ชัดเจนว่าจะอยู่ใกล้ผู้พูดต้นฉบับเพียงใด
ในประเทศไทยยังไม่มีระบบการรับรองมาตรฐานล่าม ในทวีปเอเชียอาจจะมีแค่ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ในทวีปยุโรปจะมีที่เรียกว่าสมาคมนานาชาติว่าด้วยล่ามการประชุม หรือเอไอไอซี (ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจ้างมาแปลคดีพระวิหารครั้งนี้) ซึ่งการจ้างล่ามที่เป็นสมาชิกเอไอไอซี จะมีกฎเกณฑ์ละเอียดมาก เช่น ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่แพง ต้องมีค่าประกันการเดินทาง แต่ล่ามที่เป็นสมาชิกเอไอไอซีก็จะได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
แต่ในประเทศไทยยังไม่มีหลักการตรงนี้ และทางสมาคมเองก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าล่ามแต่ละคนมีคุณภาพสากลหรือไม่ คือเราจะพิจารราจากลักษณะความเชี่ยวชาญ มากกว่าดูว่าได้มาตรฐานสากลหรือไม่
มีมุมมองต่อการทำหน้าที่ของล่ามในประเทศไทยอย่างไร
อย่างคดีพระวิหาร ถือเป็นเรื่องระดับสากล ต้องใช้ล่ามระดับเอไอไอซีเท่านั้น ซึ่งก่อนจะไปแปลงานนี้ ล่าจะต้องศึกษาพื้นฐานของคดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมทางประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของคดี ในอดีตเคยมีการต่อสู่กันอย่างไร และผู้ที่มอบหมายให้ล่ามไปทำก็ควรมีการเรียกล่ามไปประชุม สรุปให้ฟังว่ามีความคาดหมายในการแปลอย่างไรบ้าง
แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ต่อการทำหน้าที่ของล่ามในคดีพระวิหาร ส่วนตัวมีความเห็นอย่างไร
ดิฉันไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศสมากพอ แต่เท่าที่ฟังลักษณะการแปลของล่าม ก็เห็นได้ว่าไม่ว่าจะแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส ทีมล่ามชุดนี้มีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพราะแปลออกมาฟังแล้วเราเข้าใจ
โดยล่ามที่มาแปลต่างก็เป็นสมาชิกเอไอไอซีทั้งนั่น ซึ่งการจะเข้าไปเป็นสมาชิกไม่ใช่เรื่องง่าย 1.ต้องมีเพื่อนล่ามที่มีประสบการณ์ เพราะการเป็นสมาชิกเอไอไอซี จะต้องมีคนรับรอง และ 2.ต้องมีชั่วโมงการทำงานมาก
ที่สำคัญ เอไอไอซีจะมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เช่น ห้ามรับงานคนเดียว ต้องไปมากกว่า 2 คน ต่างกับของเรา ที่บางทีเรามีใจอยากจะช่วย เราก็ยินดีรับงานเขามาเลย แต่ถ้าเป็นสมาชิกเอไอไอซี จะไปทำแบบนั้นไม่ได้
การแปลสดมีความยากอย่างไรบ้าง
ถือว่ายากพอสมควร เพราะแม้เราจะรู้ความเป็นมา และพอประเมินได้ว่า คุยอะไรกันอยู่ แต่อย่าลืมว่าวิธีการพูดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะพูดแล้วเติมอะไรไปนอกเหนือจากสิ่งที่เราคิดว่าจะพูด เรื่องสำเนียงของต้นฉบับก็มีความสำคัญ
เวลาเกิดปัญหาเฉพาะหน้า ล่ามจะต้องตัดสินใจฉับพลัน พอต้นฉบับพูดมาเช่นนี้ คุณก็ต้องตัดสินใจว่าจะแปลอย่างไร บางครั้งก็ต้องแปลจากการตีความของล่ามเอง เช่น คำว่า a letter อาจะจแปลได้ทั้งจดหมายหรือหนังสือ
ความยากของการแปล ก็คือ ล่ามจะต้องฟังแล้วจับความให้ได้ทันที แล้วการแปลฉับพลัน คุณต้องมีจังหวะในการฟังให้ได้ความในช่วงนั้นครบถ้วนเพียงพอที่จะถ่ายทอดความออกไปได้ และต้องมีวิธีแก้ปัญหา หากแปลพลาดไปแล้ว จะทำอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคและประสบการณ์ของล่ามแต่ละคน
สำหรับตัวดิฉันแล้ว หากแปลได้ถูกต้องสัก 95 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่ต้นฉบับพูดก็ถือว่าดีมากแล้ว และในชีวิตที่ผ่านมา มีการแปลที่ถูกต้องตามต้นฉบับพูด 100 เปอร์เซ็นต์เพียงแค่ 3 ครั้งเท่านั้น น้อยมาก
ในฐานะตัวกลาง ล่ามก็ควรวางตัวเป็นกลางด้วยหรือไม่
ล่ามคืออุปกรณ์การแปล ล่ามไม่ใช่บุคคล ต้องยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง
เคยมีกรณีที่ล่ามไม่สนใจจรรยาบรรณวิชาชีพบ้างหรือไม่
อาจจะมีแต่ไม่มากนัก และเราก็ไม่ปรารถนาจะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในแวดวงอาชีพของเรา
ความรับผิดชอบของล่ามต่อการแปลเหตุการณ์สำคัญๆ
ในการประชุมสำคัญ คือการประชุมทั่วไป ที่ใช้เวลาตั้งแต่ 1 ชั่วโมง 30 นาทีขึ้นไป ไม่ควรใช้ล่ามเพียงคนเดียว แต่ควรมี 2 คนสลับกัน เพราะถ้ามี 2 คน เพื่อนอาจจะช่วยได้ เช่นส่งกระดาษคำแปลที่ถูกต้องมาให้ ซึ่งสิ่งที่แปลผิดกันบ่อยมักจะเป็นตัวเลข เช่น คำว่า fifteen (สิบห้า) กับ fifty (ห้าสิบ) ซึ่งมันสำคัญนะ เราก็จะต้องหาทางแก้ ถ้าแปลผิดต้องแก้ใช้ได้ แต่จะแก้อย่างไร ขึ้นอยู่กับเทคนิคแต่ละคน
คนที่อยากเป็นล่ามควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
เบื้องต้นคือต้องมีพื้นฐานภาษาดี อย่างน้อย 2 ภาษาขึ้นไป นอกจากภาษาแม่ เพราะส่วนใหญ่เขาจะถามว่า ภาษาที่ 3 ของล่ามคืออะไร
ต้องผ่านการทดสอบอะไรบ้าง
แล้วแต่ ประเทศไทยยังมีการสอบเข้ามาเอง เพราะเรายังไม่มีการรองรับมาตรฐาน สมาคมจะดูแลกันเองตามขีดความสามารถ แต่ส่วนใหญ่จะทดสอบตามบริษัท โดยจะต้องบอกกับบริษัทให้ชัด ว่าจะเป็นล่ามหรือผู้แปล
มีล่ามอิสระหรือไม่ ในประเทศไทย
มี แต่ส่วนใหญ่มักเป็นฟรีแลนซ์ ที่จบมาสาขาเฉพาะ เช่น นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พวกนี้จะได้เปรียบ เพราะมีความรู้ในสาขานั้นๆ แม้จะเสียเปรียบด้านภาษากับคนที่จบด้านอักษรศาสตร์
อย่างไรก็ตาม การไปทำหน้าที่ล่าม ก็ถือเป็นการไปเรียนหนังสืออย่างหนึ่ง เนื่องจากจะได้ข้อมูลใหม่ๆ ลึกกว่าข้อมูลที่ปรากฏอยู่โดยทั่วไป
มองอนาคตวงการล่ามอย่างไรบ้าง จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นล่ามมากขึ้นหรือไม่
ประเทศไทยแม้จะมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่ถือว่าน้อยมาก เพราะเรียนในโรงเรียนแค่ 3 ชั่วโมง แต่ไม่เคยใช้ในชีวิตประจำวันเลย แล้วจะเชี่ยวชาญได้อย่างไร ทั้งๆ ที่กำลังจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (เออีซี) อยู่แล้ว ถามง่ายๆ ตั้งแต่ระดับ ป.1 ถึง ม.6 เรียนภาษาอังกฤษไปเท่าไร ไม่รวมถึงการเรียนพิเศษคอร์สต่างๆ แต่จบออกมาอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรู้เรื่องหรือไม่ สิ่งนี้ถือเป็นการสูญเปล่า เพราะเราไม่มีการฝึกให้ใช้ในชีวิตประจำวัน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาพูดหรือเขียนได้คล่องแคล่ว
ส่วนตัวจึงอยากให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่.
