อ.จุฬาฯชี้ โมเดลกำกับดูแลสื่อไทย ต้องให้ “รัฐ-เอกชน” ทำงานร่วมกัน
กสทช.จัดเสวนา กำกับดูแลสื่อ อ.จุฬาฯชี้ โมเดลไทย “รัฐ-เอกชน” ต้องดูร่วมกัน seapa แนะแก้ กม.ห้ามรัฐแทรก ด้าน ofcom ชี้ยุโรปห้ามนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2556 ที่โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ กทม. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์ จัดงานสัมมนาเรื่อง “จรรยาบรรณในมุมมองของสื่อและองค์กรกำกับดูแลในต่างประเทศ”
ผศ.พิรงรอง รามสูต ผอ.ศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความท้าทายของภารกิจว่าด้วยการกำกับดูแลกันเองของสื่อ:เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ” มีใจความว่า การกำกับดูแลกันเอง ให้ความสำคัญกับผู้ถูกกำกับ มากกว่าผู้กำกับ โดยภาครัฐจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมน้อยที่สุด ซึ่งข้อดีคือลดค่าใช้จ่าย หากบังคับใช้ได้จริง และสื่อไม่ทะเลาะกันเอง แต่ข้อเสียคือ ไม่มีประสิทธิภาพ และเมื่อใดที่มีมาเฟียคุมองค์กรวิชาชีพสื่อ ก็ไม่สามารถกำกับดูแลกันเองได้
ผศ.พิรงรอง กล่าวว่า รูปแบบการกำกับดูแลสื่อ มี 4 รูปแบบ 1.self-regulation อำนาจในการกำกับดูแลอยู่ที่ผู้ประกอบการทั้งหมด 2.quasi-regulation ภาครัฐพยายามเข้ามามีอิทธิพลในการกำกับดูแล แต่ไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่โดยตรง 3.co-regulationการกำกับดูแลกันเองของผู้ประกอบการ โดยที่รัฐมีอำนาจในการเข้าไปเสริม และ 4.explicit คือรัฐเข้ามาสั่งการควบคุมได้โดยตรง
“เมื่อผู้ประกอบการสื่อมีมากขึ้นและไม่กำกับดูแลกันเอง รูปแบบที่น่าจะเหมาะสมก็คือ co-regulation โดยภาครัฐร่วมร่างกฎระเบียบข้อบังคับ รวมถึงกำหนดบทลงโทษสุดท้าย เช่นไม่ต่อใบอนุญาต ไม่ให้เงินทุน ขณะที่องค์กรวิชาชีพที่กำกับดูแลจะต้องตรวจสอบได้ทั้งเชิงสาระและกระบวนการ เช่น เมื่อรับเรื่องร้องเรียนเข้ามาต้องมีกรอบระยะเวลาในการทำงานที่ชัดเจน ขั้นตอนเป็นอย่างไร ตัดสินกันอย่างไร ที่ผ่านมาสังคมไม่เคยรู้ หากทำให้ชัดเจนจะทำให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ผศ.พิรงรองกล่าว
ผศ.พิรงรอง กล่าวอีกว่า องค์ประกอบสำคัญที่จะจำให้การกำกับดูแลสื่อมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1.ตัวสื่อเอง 2.องค์กรวิชาชีพ 3.กสทช. และ 4.ผู้บริโภค
จากนั้นเป็นการเสวนา เรื่อง “ภูมิทัศน์สื่อในต่างประเทศ สู่กลไกการกำกับดูแลในกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์” โดยนายไบรอัน กอร์ดอน ตัวแทนจาก Advertising Standards Bureau ของออสเตรเลีย กล่าวว่า สื่อในออสเตรเลีย ต้องมีเจ้าของเป็นคนออสเตรเลียเท่านั้น และถือหุ้นได้ไม่เกิน 2 ใน 3 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด การกำกับดูแลใช้รูปแบบ co-regulation โดยภาครัฐเป็นผู้กำกับโดยตรงบางประเภท เช่น กฎหมายการประกอบธุรกิจ ถัดมาอีกชั้นคือมีหน่วยงานกำกับดูแลกันเองในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ มีหน่วยงานชื่อ Australia Communication and Media Authority เป็นผู้กำหนดเรื่องกฎระเบียบและจรรยาบรรณ ดูแลคำร้องทุกข์ และดูแลเนื้อหาของทั้งรายการโทรศัพท์และโฆษณา ซึ่งหากมีการร้องเรียนจากผู้บริโภคจะต้องผ่านด่าน 2 ชั้น ชั้นแรก คือเจ้าของสื่อ ขั้นที่สองคือองค์กรที่กำกับดูแล
ด้าน นายคริส บานัตวาลา ผู้แทนจาก Ofcom ของอังกฤษ กล่าวว่า รูปแบการกำกับดูแลสื่อในอียูจะต่างจากออสเตรเลีย เพราะอียูจะออกกฎระเบียบมาให้แต่ละประเทศปฏิบัติ ซึ่งประเทศนั้นๆ จะมีหน่วยงานของรัฐกำกับดูแลกันเอง โดยอียูให้ความสำคัญกับเนื้อหารายการมากกว่าความเสรีของตลาด โดยประเด็นที่ให้ความสำคัญคือเสรีภาพในการแสดงออก ประเทศทุกคนต้องมีสิทธิในการแสดงออกโดยที่ภาครัฐไม่เข้ามาแทรกแซง ทั้งนี้ในอังกฤษมีรูปแบบการกำกับดูแลสื่ออยู่ 3 รูปแบบ 1.กำกับดูแลกันเองในอุตสาหกรรมโดยไม่มีกฎหมายกำหนด 2.กำกับร่วมซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างกำกับดูแลกันเองกับมีกฎหมาย และ 3.ภาครัฐเข้ามากำกับดูแลสื่อทั้งหมด
“ในยุโรปจะมีข้อกำหนดว่าห้ามคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเข้ามาเป็นเจ้าของสื่อ ขณะเดียวกันยังห้ามองค์กรศาสนาเข้าไปถือหุ้นในสื่อต่างๆ” นายบานัตวาลากล่าว
น.ส.กายาทรี เวนกิทสวารัน ผู้แทนจาก The South East Asian Press Alliance หรือ SEAPA กล่าวว่า การกำกับดูแลสื่อในอาเซียน อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ยุ่งเหยิง เพราะมีประเพณี ระบบการเมือง การศึกษา ที่แตกต่างกัน มีระบบสื่อที่หลากหลาย โดยไทยกับอินโดนีเซียเป็นต้นแบบของประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เมื่อพูดถึงเสรีภาพสื่อ มีการกำกับดูแลโดยใช้ทั้ง 3 รูปแบบ ต่างจากฟิลิปปินส์ ที่แม้สื่อจะมีสีสัน แต่การกำกับดูแลกันเองยังไม่เข้าที ส่วนประเทศอื่นๆ จะอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ขั้ว เช่น มาเลเซีย ที่แม้จะมีองค์กรวิชาชีพสื่อ แต่ภาครัฐจะเป็นผู้กำหนดมาตรการกำกับดูแลสื่อด้วยตัวเอง
“ประเด็นพื้นฐานที่ SEAPA จากสื่อในอาเซียน คือเรื่องความเป็นเจ้าของ เพราะใครอยากเป็นก็เป็นได้ กลุ่มการเมืองก็เป็นเจ้าของสื่อได้ เวียดนามหรือลาว สื่อถูกครอบครองโดยรัฐ ที่แม้จะให้สัมปทานกับเอกชน แต่รัฐก็ยังเป็นผู้ถือใบอนุญาตและออกกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่ดี ดังนั้นหากจะพูดถึงการกำกับดูแลสื่อ ต้องให้ความสำคัญกับความเป็นเจ้าของด้วย เพราะถ้ายังผูกขาดโดยรัฐอยู่ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงควรแก้กฎหมายไม่ให้ภาครัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อได้” น.ส.เวนกิทสวารัน กล่าว