เบื้องหลังความชุลมุน วุ่นเปลี่ยนชื่อ "ม.ธรรมศาสตร์"
เป็นประเด็นที่ผู้คนพูดถึงและให้ความสนใจไม่น้อยกับการที่มีข่าวว่าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. …. ของสภาผู้แทนราษฏร ที่มีสาระสำคัญคือการนำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกนอกระบบ

(ตราสัญลักษณ์ของ ม.ธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน)
กำลังอาจจะเห็นชอบให้มีการ "เปลี่ยนชื่อ" มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กลับไปใช้ชื่อเดิมเหมือนสมัยก่อตั้งมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อ 27 มิถุนายน 2477 ที่มีชื่อว่า
"มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง"
ที่เป็นชื่อเดิมมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ที่ "จอมพลผิน ชุณหะวัณ" ได้ทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 ทำให้มหาวิทยาลัยเวลานั้นได้รับผลกระทบพอสมควรและมีการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยโดยตัดคำว่า"วิชา...และการเมือง" ออก เปลี่ยนเป็น "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"อย่างในปัจจุบัน
มาวันนี้ กมธ.จากพรรคเพื่อไทยหลายคน ได้มีการนำเสนอความคิดให้มีการเปลี่ยนชื่อ มธ.กลับไปใช้ชื่อเดิมอีกครั้ง โดยพบว่าได้รับเสียงสนับสนุนอย่างมากจาก กมธ.ซีกพรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ใน กมธ.ชุดนี้
ข่าวนี้ คนซึ่งติดตามการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในวันที่มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ครั้งแรกเข้าสภาฯครั้งแรกเมื่อ 27 มีนาคม 2556 ก็พอจะเห็นสัญญาณตรงนี้ได้แล้วว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีการให้ความสำคัญกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กันมาก มี ส.ส.เพื่อไทยหลายคนอภิปรายร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อย่างร้อนแรง โดยพาดพิงไปถึงผู้บริหาร-คณาจารย์ของ มธ.ในอดีต โยงเข้ากับสถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายของ "สุนัย จุลพงศธร" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หรือ "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ซึ่งทั้งสองคนนี้รู้กันดีว่า เวลาอภิปรายอะไรเนื้อหาจะแรงเสมอ
ซึ่งการอภิปรายของ ส.ส.เพื่อไทยเวลานั้น อย่างนายพิเชษฐ์ก็ได้จุดประเด็นเอาไว้กลางที่ประชุมสภาฯ แล้วว่าจะเสนอให้มีการเปลี่ยนชื่อ มธ.มาเป็น "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง"
จนทำให้รุ่นใหญ่ในสภาฯอย่าง ”ชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี ศิษย์เก่านิติธรรมศาสตร์รุ่นแรก คือรุ่น 01 ถึงกับต้องลุกขึ้นอภิปรายกลางที่ประชุมสภาฯ เพื่อพูดถึงเรื่อง มธ.กับสถานการณ์การเมือง จนเป็นที่ฮือฮากันมาแล้ว ก่อนที่สุดท้ายที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรจะได้มีมติเห็นชอบรับหลักการ "ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. …." ไปตามความคาดหมาย
เพื่อติดตามกระแสเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับความเห็นขอบฝ่ายการเมืองและนักการเมืองที่อยู่ใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังนี้
"ทีมข่าวเฉพาะกิจ" ของสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้สอบถาม กมธ.ถึงทิศทางและความเห็นในเรื่องนี้และได้พบความเห็นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของ กมธ.
อันพบว่าแนวคิดการเสนอให้เปลี่ยนชื่อ มธ.กลับไปเป็น "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" เป็นแนวคิดที่ได้รับเสียงหนุนอย่างมากจาก กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยและจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นเสียงข้างมากในกรรมาธิการฯชุดนี้
“นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย หนึ่งใน กมธ.บอกว่า มี กมธ.หลายคนโดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทยต่างเห็นด้วยอย่างมากกับการที่จะให้ มธ.กลับไปใช้ชื่อดั้งเดิมของมหาวิทยาลัยเหมือนเมื่อตอนก่อตั้งเลยคือ "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองคือให้เติมคำว่า ”วิชา” ไว้ข้างหน้าคำว่าธรรมศาสตร์และการเมืองด้วย รวมถึงแม้แต่ ส.ส.เพื่อไทยที่ไม่ได้เป็น กมธ.ชุดนี้อย่างนายสุนัย ก็ฝากความเห็นเรื่องให้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยกลับไปใช้แบบตอนก่อตั้งนี้มาให้ด้วย
“ส่วนตัวผมเห็นด้วยอยู่แล้วในการให้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แม้ผมจะไม่ได้เป็นศิษย์เก่าของสถาบันนี้ แนวคิดนี้โต้โผใหญ่ใน กมธ.คงเป็นนายอดิศร เพียงเกษ ที่เป็นศิษย์เก่าและเป็นรองประธาน กมธ.ชุดนี้ ที่มีนายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นประธาน กมธ. เพราะธรรมศาสตร์มีประวัติความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทางการเมืองมาตลอด อย่างเช่นการเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยในช่วงที่ผ่านมาทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือเหตุการณ์ช่วงการเคลื่อนไหวจนเกิดเหตุพฤษภาคม 2535 สมัย รสช. ก็ควรที่จะกลับไปใช้ชื่อตอนที่ก่อตั้งสถาบัน
"อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ยังเป็นแค่ชั้น กมธ. สุดท้ายก็ต้องส่งร่างกลับไปที่สภาฯ ให้พิจารณาวาระสองสามกันอีก แม้ กมธ.จะว่าอย่างไรสุดท้ายก็ต้องไปให้ที่ประชุมสภาฯ เขาเห็นชอบกันอีกที แต่ผมและ กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับการให้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง”
ด้านความเห็นจาก กมธ.ซีกพรรคร่วมฝ่ายค้านคือ ”เจริญ คันธวงศ์" ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.จริง ๆ แล้วยังไม่ได้มีมติเห็นด้วยกับการให้เปลี่ยนชื่อ มธ.เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะในการประชุมของ กมธ.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวและมีการตั้ง กมธ. ก็ได้มีการประชุมกันไปเมื่อ 24 เมษายน 2556 โดยมีการเลือกประธานกมธ.วิสามัญและตำแหน่งต่า งๆ และได้มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไป 5 มาตราที่ก็จะมีการพูดถึงเรื่องชื่อของมหาวิทยาลัยว่าควรเป็นชื่ออะไรจะใช้ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอมาหรือไม่
“ซึ่งก็ปรากฏว่ามี กมธ.อภิปรายถกเถียงกันพอสมควรเรื่องชื่อของมหาวิทยาลัย แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ โดยมี กมธ.ที่เป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน เช่น นายอดิศร เพียงเกษ ที่เป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ก็ขอสงวนความเห็นไว้ว่าควรให้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองเหมือนเมื่อตอนก่อตั้งมหาวิทยาลัย
"ก็มี ส.ส.เพื่อไทยหลายคนเห็นด้วย แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติที่ประชุมจึงให้แขวนเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วไปพิจารณาบทบัญญัติมาตราอื่นๆ ไปก่อน เพราะก็มี กมธ.บางคนก็เห็นว่าควรใช้ชื่อปัจจุบัน อย่างไรก็ตามสุดท้ายที่ประชุมจะว่าอย่างไร ก็ต้องแล้วแต่เสียงข้างมากใน กมธ.”
เจริญ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่ควรกลับไปใช้ชื่อ "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง" เพราะในระบบการศึกษาสมัยใหม่โดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยตามหลักสากลแล้ว ชื่อของมหาวิทยาลัยไม่ควรยาวเกินไป ควรให้สั้นจดจำง่าย ที่สำคัญต้องทำให้เห็นทิศทางของมหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันอุดมศึกษาได้ว่า เป็นสถาบันที่มีแนวทางการพัฒนาสถาบันและการศึกษาอย่างไร ชื่อของสถาบันจึงสำคัญไม่น้อย ดังนั้นของไทยเราก็ควรต้องให้ก้าวทันโลกสมัยใหม่ การศึกษาระดับสากล ไม่ควรยึดติดกับอดีตมากเกินไป
“ผมเห็นว่าไม่ควรกลับไปใช้ชื่อธรรมศาสตร์และการเมือง การศึกษาเราต้องมองไปข้างหน้าไม่ควรมองย้อนหลัง ยิ่งการศึกษาเป็นเรื่องของอนาคต ก็ต้องมองไปข้างหน้า ให้เข้าสู่ระบบสากล
"คิดว่าฝายที่เสนอให้กลับไปใช้ชื่อธรรมศาสตร์และการเมืองเท่าที่เห็นก็เป็นศิษย์เก่าของ มธ. เขาก็คงอยากให้กลับไปใช้ชื่อแบบตอนตั้งมหาวิทยาลัย เหมือนกับเป็นความผูกพันของศิษย์เก่าที่เห็นว่าชื่อเดิมซึ่งตั้งไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้วจะดีกว่า แต่ผมก็เห็นอย่างที่บอก ชื่อมหาวิทยาลัยต่อไปต้องสั้น เห็นทิศทางของสถาบัน”
ฟาก กมธ.จากซีกพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง "กรวีร์ ปริศนานันทกุล" ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา ศิษย์เก่าสถาบันเหลือง-แดง บอกว่า เวลานี้ กมธ.มีความเห็นออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งแรกที่สนับสนุนให้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย กับฝั่งที่ไม่เห็นด้วยคือเสนอให้ใช้ชื่อปัจจุบัน
“ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยอย่าง กมธ.ที่เป็นผู้บริหารของ มธ.ที่นั่งอยู่ใน กมธ.ก็ให้เห็นผลว่าปัจจุบัน มธ.มีระบบการศึกษาที่มีวิชาคณะที่สอนมากกว่าในอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ไม่ได้มีแต่เฉพาะการสอนด้านวิชาการเมืองการปกครองเหมือนก่อนหน้านี้ เช่นตอนนี้ก็มีคณะแพทย์ศาสตร์ มีวิศวกรรม มีการสอนด้านวิทยาศาสตร์ เขาก็บอกว่าวันนี้หลายอย่างได้เปลี่ยนไป อีกทั้งที่ผ่านมาการใช้ชื่อ มธ. ก็มีประวัติการใช้ชื่อนี้ยาวนานกว่าตอนใช้ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองมากกว่ามาก
"รวมถึงหากมีการเปลี่ยนชื่อกลับไปใช้แบบเดิม ก็จะเกิดข้อยุ่งยากในการบริหารจัดการอีกหลายอย่างที่จะตามมาทันที ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าควรใช้ชื่อธรรมศาสตร์และการเมือง ก็บอกว่าเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ เป็นการรักษาจุดยืนเดิมของสถาบันเอาไว้ “
เมื่อถามว่าในฐานะเป็น กมธ.และศิษย์เก่า มธ. หากต้องมีการ "โหวต" ว่าจะให้เปลี่ยนชื่อหรือไม่ เห็นว่าควรเป็นอย่างไร?
กรวีร์ ตอบว่า "ส่วนตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อเสียหากจะใช้ชื่อมหาวิทยาลัยแบบเดิม แต่ก็คงต้องรอฟังเหตุผลต่าง ๆ ก่อน เพราะตอนนี้ประธาน กมธ.ก็ให้คนที่ไม่เห็นไม่ตรงกัน ไปคุยกันก่อน แล้วก็ให้มีการรวบรวมเหตุผลของแต่ละฝั่ง แต่เชื่อว่าคงไม่ต้องถึงกับขั้นต้องลงมติกันในที่ประชุม กมธ. น่าจะคุยกันได้ คิดว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คงใช้เวลาไม่นานและน่าจะเสร็จทันก่อนการเริ่มใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 1 ตุลาคมนี้”

(ชื่อเดิมของ ม.ธรรมศาสตร์ คือ ม.วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง)
-----
สาระสำคัญ ร่าง พ.ร.บ.ธรรมศาสตร์
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ธรรมศาสตร์ฯ ดังกล่าว ทาง มธ.และกระทรวงศึกษาธิการได้ให้เหตุผลต่อการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวต่อที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ตามคำแถลงของทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในวันดังกล่าวหลัง ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้ว่า
"เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพและความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ ซึ่งต้องอาศัยความคล่องตัวและความอิสระเป็นเครื่องมือในการทำงานที่เหมาะสมกับสภาพมหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาลเพื่อสร้างสรรค์ปัญญาแก่สังคม
"ซึ่งการอยู่ภายใต้ระบบราชการ ทำให้มีข้อจำกัดในการดำเนินการตามภารกิจบนพื้นฐานหลักการอุดมศึกษา ที่ต้องจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการกำลังคน เพื่อให้ฐานหลักการอุดมศึกษา ที่ต้องจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการกำลังคน เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน
"ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงกำหนดให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการและกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น และเป็นนิติบุคคล
"นอกจากนี้กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้จากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เป็นต้น”
ขณะที่หลักการและเหตุผลในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ที่มีการระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฏร ระบุไว้ดังนี้
หลักการ - ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์
เหตุผล - โดยที่สมควรปรับปรุงระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยของรัฐพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและมีความคล่องตัว สามารถพัฒนาระบบบริหารและมีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ จึงสมควรปรับปรุงการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวจึงต้องตรากฎหมายฉบับนี้
"ทีมข่าวเฉพาะกิจ" ได้ศึกษาร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังกล่าว แล้วพบว่าสาระสำคัญนอกจากให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีสภาพเป็น "นิติบุคคล" มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐแต่ไม่ใช่หน่วยราชการแล้ว
ยังพบว่า การบริหารงานในมหาวิทยาลัยจะทำผ่าน”คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย” ที่เปรียบเสมือนคณะผู้บริหารบริษัทเอกชนหรือบอร์ดบริษัทหรือบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งคณะกรรมการบริหารดังกล่าวจะมีอธิการบดีเป็นประธานและมีกรรมการโดยตำแหน่งเช่น รองอธิการบดี-คณบดี-ผู้อำนวยการสถาบัน-ผู้อำนวยการสำนัก-ประธานสภาอาจารย์-ประธานสหภาพพนักงานมหาวิทยาลัย
โดยหน้าที่หลักก็คือการเสนอแผนพัฒนามหาวิทยาลัย ดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงินและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ส่วนที่มีบางฝ่ายหวั่นใจว่านักศึกษาจะต้องรับภาระเพิ่ม เช่น เรื่องค่าหน่วยกิตหรือค่าบำรุงการศึกษาที่จะจ่ายแพงมากขึ้นหลังมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น ก็พบว่าในร่างกฎหมายฉบับนี้ก็มีการเขียนเรื่องการช่วยเหลือทางทุนทรัพย์แก่นักศึกษาที่ขาดแคลนเช่นกัน อย่างในมาตรา 16 ที่ระบุว่า
”มหาวิทยาลัยต้องส่งเสริมและสนับสนุนผู้ซึ่งมหาวิทยาลัยรับเข้าศึกษาและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์อย่างแท้จริงให้มีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี”
ขณะที่เรื่อง "รายได้" ของมหาวิทยาลัย ก็พบว่าในมาตรา 15 ระบุถึงรายได้จากแหล่งต่างๆ ของสถาบันไว้ เช่น เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้รายปี-เงินและทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้กับมหาวิทยาลัย-รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนหรือจากการร่วมลงทุนและจากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย
จากสภาพสังคม-ระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ได้มีการปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสภาพการเปลี่ยนแปลง
เห็นได้ชัดว่าหลายสถาบันก็มีการพยายามจะขอออกนอกระบบแบบเดียวกันนี้ โดยอ้างเหตุผลแตกต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่ก็จะบอกไปในทางเดียวกันว่าเพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงในการที่จะทำให้สถาบันมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น
แต่ในส่วนของ มธ. กลายเป็นว่าประเด็นการเปลี่ยน "ชื่อ" มหาวิทยาลัย กลับเป็นที่สนใจของผู้คนมากกว่าเรื่องการออกระบบเสียอีก !!!
