แบงก์ชาติชง 4 วิธีลดภาระเงินกู้ 2 ล้านล้าน
ธ.แห่งประเทศไทย เสนอ 4 วิธีลดภาระเงินกู้ 2 ล้านล้าน สบน.เผยมีแผนหาเงิน-ใ้ช้เงินครบ ยันไม่กู้มากองแน่

(ประสาร ไตรรัตน์วรกุล - ขอขอบคุณภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
วานนี้ (29 เม.ย.2556) มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระยอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเป็นประธาน โดยมีการพิจารณาถึงมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ที่มีบัญญัติไว้ว่า
“ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติ ครม. มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์และแผนงาน และภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.นี้
“การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองล้านล้านบาท และให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค.2563”
ทั้งนี้ มีการเชิญตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เข้าให้ข้อมูล
น.ส.พรเพ็ญ สดสีชัย เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย ธปท.ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ให้ข้อมูลว่า ธปท.มีความเห็นต่อมาตรานี้ 4 ประการเพื่อให้การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลเกิดผลกระทบน้อยที่สุด 1.ต้องกระจายการกู้เงินเป็นงวดๆ ในระยะเวลา 7 ปีและควรหลีกเลี่ยงการกู้เงินครั้งละจำนวนมาก 2.ให้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีแบบสมดุลและลดการกู้เงินในงบประมาณ 3.วางแผนการกู้เงินอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการกู้เงินโดยตรงจากหน่วยงานต่างๆ และ 4.เร่งการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนงาน เพื่อให้เงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบโดยเร็ว
“โดยภาพรวม ถ้ารัฐบาลดำเนินงานตาม 4 ข้อนี้ ไม่น่าจะสร้างความกดดันต่อตลาดการเงินมากเกินไป น่าจะช่วยลดทอนผลกระทบลงได้ ทั้งนี้ กรรมการนโยบายการเงินของ ธปท.ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ โดยนำโครงการ 2 ล้านล้านบาท ร่วมประมาณการณ์ คาดว่าช่วง 2 ปีแรกหลังการเริ่มโครงการ อัตราเบิกจ่ายจะอยู่ที่ 40% ของโครงการ แรงกดดันต่อเงินเฟ้อ อาจมีไม่มากนัก โดยประมาณการว่าเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.9% มาเป็น 5.1% ซึ่งใกล้เคียงตัวเลขเดิม แต่ไม่ได้ศึกษาว่าโครงการ 2 ล้านล้านจะมีผลต่อต่ออสังหาริมทรัพย์หรือไม่” น.ส.พรเพ็ญกล่าว
นางจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการ สบน.ให้ข้อมูลว่า ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุไว้ว่า กระทรวงการคลังมีอำนาจในการกู้เงินให้เสร็จก่อนวันที่ 31 ธ.ค.2563 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกัดบนโยบายหนี้สาธารณะ โดยมีนายกิตติรัตน์เป็นประธาน เพื่อติดตามดูการก่อหนี้และพิจารณาเรื่องการระดมทุน ให้สอดคล้องกับโครงการ รวมถึงวินัยการเงินการคลัง ทั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการระดมทุนภายในประเทศ โดยจะมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์รายย่อยเพื่อให้ประชาชนมามีส่วนร่วม
“หลังจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ แต่ละโครงการต้องไปศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อ ครม.อนุมัติแผนการเบิกจ่ายเงิน ก็ให้มีการกำหนดราคากลางเป็นไปกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/7 และจัดจ้างที่ปรึกษาภายใน 180 วัน ตอนนี้ สบน.กำลังพิจารณาให้มีการกำหนดราคากลางค่าที่ปรึกษา” นางจุฬารัตน์กล่าว
นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป.ถามว่า เหตุใดต้องกู้ภายในประเทศ ทั้งๆ ที่ถ้ากู้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) ดอกเบี้ยจะถูกกว่า และเหตุใดต้องระบุว่าให้กู้ภายในปี 2563 เท่านั้น ทั้งที่บางโครงการอาจทำการศึกษาเสร็จไม่ทัน ตนกังวลว่าจะกู้มากองไว้ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยไปเปล่าๆ
นางจุฬารัตน์ ตอบว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศมีรายได้ปานกลางขั้นสูง ขยับฐานะขึ้น เมื่อไจก้าจะให้กู้ ดอกเบี้ยจะแพงขึ้นด้วย เมื่อคำนวณจากความเสี่ยงในการแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว เห็นควรให้กู้เงินภายในประเทศมากกว่า โดยจะมีการกระจายพันธบัตรไปหลายรุ่นเพื่อให้ภาระหนี้กระจายไปด้วย
“สบน.จะหาแหล่งเงินและเครื่องมือให้สอดคล้องกับการใช้เงิน เพื่อให้เกิดปัญหากู้มากองจนมีภาระดอกเบี้ยเปล่าๆ ซึ่งหากโครงการใดยังทำการศึกษาไม่แล้วเสร็จทัน 31 ธ.ค.2556 สบน.จะใช้วิธีทำสัญญาจะกู้เงินหรือสัญญาจะออกพันธบัตรไว้ล่วงหน้า และเมื่อโครงการผ่านกระบวนการแล้วเสร็จจึงจะมีการกู้เงินจริง” นางจุฬารัตน์กล่าว
