"กิตติศักดิ์ ปรกติ" เตือน รบ.ชนศาล รธน. “อย่าใช้เสียงข้างมากเอาชนะทุกเรื่อง”

การเมืองกลับมาขัดแย้ง-เผชิญหน้าอีกรอบ เมื่อมวลชนเสื้อแดงล้อมศาลรัฐธรรมนูญ คู่ขนานกับพรรคเพื่อไทย ที่เตรียมยื่นถอดถอนตุลาการออกจากตำแหน่ง ส่วน ส.ส.และ ส.ว.ประกาศไม่รับอำนาจองค์กรอิสระแห่งนี้
จากปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องของ “สมชาย แสวงการ” “บวร ยสินทร” รวมถึง “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม” ไว้พิจารณา
โดยผู้ร้องทั้ง 3 ขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 312 โดยเฉพาะมาตรา 68 เป็นการตัดสิทธิบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่
“กิตติศักดิ์ ปรกติ” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองปรากฏการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยความสนใจ รวมถึงเสนอมุมมองต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่พรรคเพื่อไทยกำลังเดินเครื่องเต็มกำลัง
-----
- มองการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนขณะนี้ หลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจาก สว.ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานี้ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ผู้ร้องเขาอ้างว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยการล้มล้างการปกครอง ทีนี้ก็มีปัญหาว่า ข้ออ้างเขาฟังขึ้นหรือไม่ ถ้าฟังขึ้น ศาลเขาก็มีอำนาจ แต่ถ้าหากว่า ฟังไม่ขึ้น ศาลก็จะพิจารณาเองว่า มันไม่ถึงขนาดหรือไม่มีเหตุ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะมาตรา 68 มีไว้สำหรับป้องกันปัญหาหากมีการดำเนินการอันใดที่เป็นภยันตรายถึงขั้นที่จะเป็นการล้มล้างการปกครอง ทีนี้ต้องดูว่า มีภยันตรายหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจเพราะเรามีศาลรัฐธรรมนูญไว้ก็เพื่อต้องการแก้ปัญหาข้อพิพาท ของรัฐธรรมนูญในทำนองนี้
ปัญหาคือมันมีเรื่องหรือเปล่า แล้วกรณีที่เขาเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ต่อไปนี้จะให้อัยการพิจารณาฝ่ายเดียว มันมีเหตุไหมที่จะอธิบายได้ว่า นำไปสู่การล้มล้างการปกครอง หรือเป็นการทำให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐโดยวิธีการที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถ้ามันไม่ถึง ก็ไม่ถึง แล้วจะไปกลัวอะไร ถูกไหมครับ
- พรรคเพื่อไทยบอกว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง เท่ากับว่า กำลังก้าวก่ายอำนาจของรัฐสภา
เขาก้าวก่ายหรือยัง และเขาก้าวก่ายยังไงล่ะ ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ก้าวก่ายอะไรทั้งนั้น ศาลบอกว่าเมื่อมีคนมาร้องอย่างนี้มันก็ต้องฟังเหตุผลกัน คือถ้าหากว่าศาลรัฐธรรมนูญสามารถอธิบายได้ หรือผู้ร้องสามารถอธิบายได้ว่า ที่เขาแก้รัฐธรรมนูญกันแบบนี้ มันมีอย่างอื่นแอบแฝงอีก ก็ต้องฟังด้วยเหตุผล ที่สำคัญเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญเราก็ต้องการให้ระบบการปกครองมันเดินไปได้ และเมื่อมีศาลรัฐธรรมนูญเราก็ต้องการให้ระบบการปกครองนี้มันเดินไปได้เช่นกัน
เวลานี้เมื่อมีคนมากล่าวว่า มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ต้องมีคนตัดสิน และการตัดสินก็ต้องอยู่ในเหตุในผล เพราะถ้าตัดสินโดยไม่มีเหตุผลมันก็ยุ่ง แต่ถ้าเกิดว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางอย่าง มันเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ มันก็มีเหตุที่จะต้องไปพิจารณากันว่า อันนี้มันเกินอำนาจหน้าที่หรือไม่ มันไม่ใช่ว่าเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้นะ
- พรรคเพื่อไทยอ้างว่า สิทธิ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา เป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญก้าวล่วงไม่ได้
ก็ถูกต้อง การแก้ไขเป็นอำนาจอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันต้องแก้ไม่ให้เกินขอบอำนาจเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น เวลานี้เราขอแก้ว่า ต่อไปนี้เดิม ถ้าใครเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำไม่ถูก ก็ร้องต่อวุฒิสภาได้ วุฒิสภาก็ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช. ป.ป.ช.ก็พิจารณา ถ้ามีมูลก็จะส่งเรื่องให้วุฒิสภาไปลงคะแนนเสียง ขณะเดียวกันก็ส่งเรื่องอีกทางหนึ่งไปยังศาลอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผ่านทางอัยการสูงสุด แต่คราวนี้เขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันใหม่ว่า ต่อไปนี้ถ้ารัฐสภาเห็นว่า ไม่น่าไว้วางใจก็ปลดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เลย มันก็เกิดภยันตรายได้เหมือนกันต่อระบบการปกครองแบบถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน กลายเป็นว่าเสียงข้างมากอยากจะปลดใครก็ได้
หรือว่าเสียงข้างมากลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ โดยที่ไม่จำเป็นว่าเขาจะมีความผิดอะไรหรือไม่ มันก็ไม่ได้ เพราะตอนที่ตัดสินใจเลือกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี มันก็มีเหตุผล ถ้าหากให้เขาออก มันก็ต้องมีเหตุผลว่า เขาทำผิดต่อหน้าที่ตรงไหน จะไปแก้กฎหมายว่าอยากจะถอดใครออกก็ถอดได้ แบบนี้คนที่เขาจะถูกถอดออก ก็จะต้องบอกว่า ไอ้การทำแบบนี้ มันเป็นการกระทบกระเทือนต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องเสียงข้างมากอย่างเดียวนะ มันต้องมีการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบกันได้ ทั้งหมดมันต้องใช้เหตุผลกัน ถ้าหากใครก็ได้มาตัดสินใจโดยไม่ต้องใช้เหตุผล มันก็กระทบกระเทือนต่อระบบการปกครองเท่านั้นเอง เราต้องฟังเหตุผลกัน อย่าไปใช้พวกมากลากไป หรือใช้อารมณ์เข้าข่มเหงกัน
- ถ้ามองเฉพาะการแก้มาตรา 68 ฟังหรือไม่ การที่เขาเสนอตัดช่องทางไม่ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบว่า ใครล้มล้างการปกครอง เหลือให้อัยการทำหน้าที่นี้โดยลำพัง
ผมไม่เห็นคำร้องเขา เวลานี้ผมเห็นแต่เพียงว่า หลักการที่จะปกป้องระบบการปกครองก็คือว่า ถึงเวลาถ้าเกิดมีข้อพิพาทขึ้น มันก็ต้องมีคนกลางใช่ไหมครับ
ถามว่าถ้าเราจะเลิกมาตรานี้ไปเลย เรื่องนี้จะไปอยู่ที่ใคร เวลานี้มีคนบอกว่า คุณกำลังล้มล้างการปกครอง มันก็ต้องไปจบที่ศาลยุติธรรมกันอยู่ดี เพราะอะไรก็ตามที่เป็นข้อพิพาทก็ต้องไปยื่นคำร้องต่อองค์กรซึ่งถูกตั้งให้มาเป็นกลาง ศาลก็ต้องเป็นองค์กรสำหรับการยุติข้อพิพาท จะไปบอกว่าเมื่อมีข้อพิพาทแล้ว ให้เสียงข้างมากตัดสิน อย่างนี้ถ้าเกิดเสียงข้างมากกับเสียงข้างน้อยมีข้อพิพาทกัน แล้วให้เสียงข้างมากตัดสิน มันก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
ปัญหามันอยู่เพียงว่า ไอ้เรื่องที่มันพิพาทกันนั้น มันเป็นเรื่องอะไร ถ้ามันเป็นเรื่องนโยบายว่า จะเอาแบบไหน อันนี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะเป็นข้อพิพาท มันเป็นปัญหาว่า เราจะเห็นสมควรเลือกอย่างไหน ยังไงก็ให้พิพาทไม่ได้ แต่ถ้าหากว่า สิ่งที่คุณทำอยู่นี้มันจะล้มการปกครอง มันจะกระเทือนต่อสิทธิของคนอื่น มันก็ต้องหาคนกลางมาตัดสิน
- อัยการสูงสุดถือเป็นกลางหรือไม่
การตัดไม่ให้ประชาชนยื่นตรวจสอบการล้มล้างการปกครอง มันก็เป็นหน้าที่ที่ศาลจะพิจารณา เดิมศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ถ้าหากให้ประชาชนมาร้องต่อศาล ศาลก็จะเป็นคนกลางที่มาวินิจฉัยด้วยเหตุผล ถ้าหากว่าไม่ให้มาร้องต่อศาล และประชาชนเห็นว่ามีการกระทำการอันเป็นการล้มการปกครอง เขาก็ต้องเลือกใช้มาตรา 69 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขาบอกว่า ประชาชนจะทำอะไรก็ได้ ถ้าหากเห็นว่าเป็นการกระทำโดยสันติวิธีเพื่อต่อต้านการกระทำเช่นนั้น แทนที่เราจะมีตัวมาบรรเทา เราก็ไม่มีตัวมารับบรรเทา ถูกไหม ทุกคนก็จะไปใช้ช่องมาตรา 69 และก็ไปสู่มาตรา 63 คือการเดินขบวนกัน แล้วก็ใช้ขบวนการไปล้อม ตรึง ยึด โดยอ้างว่า เป็นวิธีการที่สันติวิธีเพื่อต่อต้านการล้มล้างการปกครอง เราจะเอาแบบนั้นหรือเปล่าครับ
ศาลเขาก็จะพิจารณาว่า ที่คุณกำลังแก้ มันทำให้ระบบการปกครองเดินไปโดยเป็นไปตามระเบียบตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าหากว่าแก้แล้วมันกระทบกระเทือนต่อสาระสำคัญ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องตัดสิน
- ถ้ามองโดยรวมของการขอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคเพื่อไทยและ สว.จำนวนหนึ่ง ครั้งนี้ รวมทั้งหมด 4 ประเด็น เรื่องให้รัฐสภาเห็นชอบการทำสนธิสัญญา การให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งไม่ต้องยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคไม่ต้องรับผิดชอบ และมาตรา 68 อย่างที่เกริ่นมา อาจารย์เห็นอย่างไร
ผมไม่ได้ติดตามรายละเอียดนะ แต่บางประเด็น เช่น จะไปแก้มาตรา 237 พรรคการเมืองมีกรรมการบริหารพรรค หรือสมาชิกที่ทำการหรือฝ่าฝืนความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย เช่น โกงการเลือกตั้งแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบอกว่า ถ้าคุณไม่หาทางแก้ไขตั้งแต่ต้น และปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปจนเกิดความเสียหาย คุณก็จะต้องโดนลงโทษด้วย 1.ถูกยุบพรรค 2.กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี
เวลานี้ที่เขาจะแก้ไขเพื่อไม่ต้องให้ยุบพรรค และไม่ต้องให้กรรมการบริหารพรรครับผิด นั่นก็หมายความว่า ถ้าสมาชิกพรรคทำอะไรผิด พรรคการเมืองก็ไม่ต้องรับผิดชอบ และกรรมการบริหารพรรคก็ไม่ต้องรับผิดชอบอีกเช่นกัน หมายความว่า พรรคการเมืองและผู้นำของพรรคซึ่งสัญญากับประชาชนว่า จะมาปกครองประเทศ ซึ่งมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่กว่า การปกครองพรรคการเมืองอีก ถ้าทำอะไรผิดในพรรค แล้วตัวเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบ อย่างนี้จะมาปกครองประเทศได้อย่างไร สัญญาระหว่างผู้เสนอตัวกับประชาชนว่า ผมจะปกครองประเทศ ตามนโยบายที่ว่าไว้นี้ แล้วก็บอกว่า แต่ถ้าผมโกงมา ก็ไม่เป็นไร อย่างนี้ก็ไม่ได้เพราะมันจะขัดกัน
- การแก้ที่มา ส.ว. หลายคนบอกว่า เป็นข้อดีเพราะมาจากการเลือกตั้ง ดีกว่ามาจากการลากตั้ง
มันก็ต้องเถียงกันในเรื่องรูปแบบที่เราต้องการ คือรูปแบบอะไร การปกครองโดยให้มี ส.ว.จากการสรรหา ถ้าจะพูดไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มรูป มันเป็นระบบผสม คือว่าให้ ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง ส.ว.มาจากการสรรหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ที่เขาไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แล้วเขากลายเป็นเผด็จการ มันเป็นระบบที่เราเรียกว่าระบบผสม คือเอาผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้มาจากการคัดเลือกทางอ้อม แต่วิธีการแบบนี้ของเราในรัฐธรรมนูญกำหนดให้คนที่มาจากวงการตุลาการมาสรรหา ก็ทำให้บุคลากรในวงการตุลาการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุด ต้องมามีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง อันนี้มันก็จะเป็นระบอบอภิชนาธิปไตยหรือว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย
ในแง่นี้ที่เขาแก้โดยให้มีการเลือกตั้ง ส.ว.ทางตรง ในความเห็นของผม มันก็เหมาะสมแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ระบบสรรหามันเลว มันอาจจะเป็นมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
- การชุมนุมล้อมศาล กดดัน ไม่ยอมรับอำนาจศาล มองอย่างไรกับปรากฏการณ์นี้
มันก็เป็นปรากฏการณ์วัยรุ่นที่ เขาเรียก “ประชาธิปไตยวัยรุ่นที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่” มันก็เลือดร้อนเป็นธรรมดา ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็ต้องอธิบายว่ามันก็ต้องค่อยๆ ใจเย็น พิจารณากันไปตามเหตุตามผล
ทุกวันนี้ ถ้าเราพูดกันให้ดีว่า ทำไมฝ่ายรัฐบาลไม่ใช้วิธีตั้งวงเสวนาที่เรียกว่าประชาเสวนา พูดคุยกันจริงจัง ทำทุกอย่างเพื่อแสวงหาจุดร่วมกันในหมู่ประชาชน อันไหนยังยอมรับกันไม่ได้ ถกเถียงกันแล้ว น้ำหนักมันก้ำกึ่งกันอยู่ เราก็รอไว้ก่อน อะไรที่เราเห็นได้ชัดว่า มันรวมกันได้ มันก็แก้ไปก่อน อย่างนี้ผมก็คิดว่า มันไปได้ แต่ถ้าหากว่า เราคิดว่า เราต้องเอาชนะหมดทุกจุดเลย มันก็ไปไม่ได้หรอก เพราะแทนที่อีกฝ่ายจะยอมบางเรื่องที่สามารถตกลงกันได้ หรือลงมติในทางเดียวกันได้ ต่างก็กลายเป็นว่า จะเอาชนะคะคานกันทั้งหมด การปกครองมันก็เลยไม่ใช่เป็นการปกครองเพื่อแสวงหาความเชื่อถือจากกันและกัน
สมมติว่า แทนที่เราจะพูดมาตรา 68 เราอาจพูดกันก่อนว่า ส.ส. ส.ว. เราจะเอาแบบไหน ซึ่งอันนี้มันก็สามารถหาจุดร่วมได้มากที่สุดก่อน แล้วก็แก้ไป และถ้าเรื่องไหนยังรอกันไม่ได้ ก็ให้รอไว้ มันก็จะไปได้ แต่เวลานี้เถียงกัน อีกฝ่ายบอกว่ายกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ รับรองว่าจะมีอีกฝ่ายไม่ยอมแน่ หรือต่อให้แก้รัฐธรรมนูญได้ อีกฝ่ายเขาก็ต้องคัดค้านอย่างชนิดไม่เลิกรา แล้วคุณจะปกครองบ้านเมืองได้ไหม
- ถอยคนละก้าวพูดกันหลายปีเมื่อไรถึงจะถอยจริงๆ
สิ่งที่สื่อมวลชนจะช่วยได้ คือตะล่อมให้อยู่ในกรอบเหตุผล เพราะเรื่องการเมืองมันไม่ได้ตัดสินกันใน 3 วัน มันไม่ใช่สงคราม ถ้าหากว่าเราเอาการเมืองมาตัดสินกัน 3 วัน การเมืองก็จะเปลี่ยนรูปกลายเป็นสงคราม
- เห็นอย่างไรกับคำพูดของพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญ คือ ตัวถ่วงประชาธิปไตย
ก็ต้องถามว่า เขาอ้างอะไร มันมีเหตุผลจะฟังได้ไหม
- คอยสกัดขัดขวางประชาธิปไตย
ถามว่าระบอบประชาธิปไตยเราต้องการคนกลางไว้ตัดสินใช่ไหมล่ะ ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่บอกว่า เสียงข้างมากตัดสินได้ทุกอย่างนะ เสียงข้างมากเอาไว้สำหรับแสดงความต้องการ ส่วนว่าความต้องการนั้นถูกต้องหรือไม่ ยังไงก็ต้องเอาคนกลางมาตัดสิน แล้วคนกลางจะต้องเป็นอิสระจากเสียงข้างมากด้วย
ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า พัฒนาของระบบกฎหมาย สิทธิเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตย มันคือพัฒนาการที่ผู้ทรงคุณวุฒิ เขามาแต่งเติม การที่ฝ่ายที่มีอำนาจค่อยๆ ลดอำนาจของตัวเรา แล้วทำให้ประชาชนมีสิทธิ์มากขึ้น แน่นอนว่า มันอาจมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ในพัฒนาการของมัน ก็วิจารณ์กันซิ มันไม่ใช่เป็นตัวถ่วงประชาธิปไตยในแง่ที่ว่าทำให้ประชาธิปไตยเดินไปไม่ได้ มันเป็นจุดที่ทำให้เรามาถกเถียงโต้แย้งกันได้ เช่น คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เราก็สามารถถกเถียงกันได้
ศาลก็เป็นปุถุชน ไม่ใช่ผู้ที่จะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่มันก็ต้องยอมรับกติกาว่า เมื่อเราจะเล่นฟุตบอลเราก็ต้องมีกรรมการ ทีนี้เมื่อกรรมการตัดสิน อาจจะมองเห็นผิดพลาดไปบ้าง มันก็วิจารณ์กันเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเล่นฟุตบอล โดยไม่มีกติกา มันก็ไม่เป็นฟุตบอล
- การเผชิญหน้าที่จะเกิดขึ้น มาจากรัฐธรรมนูญ หรือจากเสียงข้างมาก
ถ้าคนไม่รู้จักจำกัดสิทธิและอารมณ์ของตนเอง มันก็ต้องเกิดเป็นธรรมดา แต่ถ้าเรารู้จักขอบเขตมันก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เวลานี้ มันดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ยุคของการใช้อารมณ์มากขึ้น ก็เป็นเรื่องอันตราย
- การปิดล้อม ข่มขู่ แต่แกนนำมวลชนก็อ้างว่า ไม่ได้ใช้ความรุนแรง
มันทำไม่ได้ ประชาธิปไตยมันไม่ใช่ระบบข่มขู่ ประชาธิปไตยมันเป็นระบบชักชวน โดยใช้เสียงข้างมาก ใช้เหตุผลชักนำ จูงใจ หว่านล้อม แน่นอนเรื่องบางเรื่องมันก็ต้องลงมติกัน แต่ว่าถึงแม้จะลงมติกันแล้วมันก็ต้องคำนึงถึงการเอื้อเฟื้อต่อกันในการที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นธรรมดาแหละครับ
- พรรคเพื่อไทยควรทำอย่างไร ที่ไม่สร้างเงื่อนไขการเผชิญหน้าขึ้นมา
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมันคือ การต่อสู้เอาชนะกันด้วยความไว้วางใจ เขาถึงมีการลงมติไว้วางใจ ไม่ไว้วางใจ แต่อันนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ในสภา ในสังคมก็ต้องเป็นแบบเดียวกัน เราต้องต่อสู้เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจ ถ้าเกิดเราต่อสู้ไปแล้ว และเกิดความไม่ไว้วางใจกระพือโหมขึ้น เราก็ต้องหาทางแก้ไขเสีย
- ทิศทางของศาลรัฐธรรมนูญ ขยายอำนาจในการตรวจสอบถ่วงดุลเหมือนในหลายประเทศหรือไม่
ทุกประเทศ ศาลรัฐธรรมนูญก็จะถูกว่าแบบเดียวกัน เพราะเหตุว่ามันเป็นธรรมดาของผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ เขาก็จะโจมตี ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมัน มันไม่มีเรื่องใดที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณา ถ้ามีข้อพิพาทนั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรมหรือจะสู่ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง ทีนี้ในระบบเยอรมัน ซึ่งเราเอาแบบมา แต่เราเอาแบบมาไม่ชัดเจนทั้งหมด ไม่ละเอียดรอบคอบ เราก็มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ถ้าเราถือตามแบบว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้น เราต้องหาคนกลางมาตัดสิน
ขณะเดียวกัน คนกลางก็ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่ชี้ในทุกๆ เรื่อง ต้องดูว่า เรื่องบางเรื่อง กฎหมายเขามุ่งหมายให้เป็นการตัดสินใจกันในทางการเมือง แต่บางเรื่องมันเป็นเรื่องกฎหมาย เช่น ละเมิดสิทธิกัน อันนี้เป็นเรื่องที่ศาลชี้ได้
- อีกนานแค่ไหนที่สองขั้วการเมือง ยังปะทะกันอยู่
เอาเป็นว่า เราจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของเราได้มากน้อยเพียงใด หน้าร้อนมันก็ร้อนมากขึ้น และถ้าไม่ควบคุม ถึงปลายหน้าร้อนมันก็จะมีเรื่อง เราก็เห็นได้ชัดว่า เรื่องมันจะแรงมากขึ้น.
-----
