‘ศ.ระพี’ โพสต์ภาพปริศนาชวนคิด ปม ม.เกษตรฯ กู้สหกรณ์ 4 พันล้าน
'ศ.ระพี สาคริก' โพสภาพปริศนาชวนคิดปมม.เกษตรฯ กู้สหกรณ์ออมทรัพย์ 4 พันล้าน เผยสมัยเป็นอธิการบดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับสำนักงบฯ ทำให้รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาได้

กลายเป็นประเด็นในแวดวงการศึกษาไทย ภายหลังสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอข่าวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กู้สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำกัด (สอ.มก.) เพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งสร้างตึกอาคารจอดรถ หอพักนักศึกษา อาคารที่พักบุคลากร ก่อสร้างสระว่ายน้ำ และปรับปรุงสนามกีฬา ฯลฯ รวม 57 โครงการ ตั้งแต่ปี 2544 – 2554 เป็นเงินกว่า 4,428 ล้านบาท นั้น ซึ่งอาจจะเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สหกรณ์ พ.ศ. 2542, พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 มาตรา 23 ทวิ และ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 7 และมาตรา 8 นั้น
(คลิกอ่านประกอบ : ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง ! นักกม.ถามผู้บริหารมก. “ทำไมกล้า กู้เงินสหกรณ์กว่า 4 พันล.”-ส่อผิดกม. 3 ฉบับ! ม.เกษตรฯ กู้สหกรณ์ออมทรัพย์กว่า 4 พันล้าน)
ศ.ดร.ระพี สาคริก อดีตอธิการบดี มก. พ.ศ.2518-2522 เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่าทำให้นึกถึงเรื่องราวสมัยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบการดี มก. ซึ่งขณะนั้นจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสำนักงบประมาณเลย เพราะตั้งใจทำงานบนพื้นฐานความศรัทธา โดยไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง จนทำให้ปัจจุบันรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภูมิใจที่สุด
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ระพียังได้โพสต์ภาพวาดปริศนาโดยระบุหัวข้อ ‘‘วิญญาณใต้ร่มนนทรี 60 ปี ภายใต้ร่มเงาเกษตรศาสตร์" พร้อมแสดงทัศนะผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊ก "ศาสตราจารย์ระพี สาคริก" โดยมุ่งหมายเปรียบเปรยต้นนนทรีในสมัยก่อนเคยเจริญงอกงาม แต่ปัจจุบันกลับถูกหนอนมาเจาะกินใบและลำต้น
“สำนักข่าวอิศราที่รัก โปรดสังเกตดูนนทรีต้นนี้เมื่อปี พ.ศ.2490 ฉันยืนพิงต้นนนทรีและโยนหมวกปริญญาทิ้งลงพื้นดิน อีกทั้งหนังสือตำราก็ปล่อยให้มันตกจากมือลงไปสู่พื้นดินหมดแล้ว เหตุผลก็คือต้องการให้จิตใจก้าวหน้าไปได้อย่างคล่องตัวที่สุด โดยไม่ให้ติดกับสิ่งใดทั้งนั้น โดยให้สายตามองอยู่ที่ชาวนาที่ยังตกทุกข์ได้ยาก
ฉันแหงนหน้าขึ้นไปดูสภาพของต้นนนทรีทรงปลูก เขากำลังเจริญงอกงามและมีกิ่งใบสดใสมากเป็นพิเศษ มาถึงบัดนี้ต้นนนทรีกำลังเหี่ยวเฉา เพราะมีหนอนเจาะลำต้น อีกทั้งกินใบเป็นอาหารอันโอชะ
ฉันขอฝากเรื่องนี้ไว้กับทุกคน เพราะตัวเองก็มีอายุ 90 กว่าแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็มิรู้ที่ แต่ก็ยังต่อสู้อย่างหนักโดยมิท้อถอย”

ขณะที่เนื้อหาที่ปรากฏใต้ภาพปริศนานั้น ระบุว่า “ชีวิตฉันเริ่มต้นก้าวเข้าสู่บรรยากาศการจัดการศึกษาเกษตรศาสตร์อย่างเป็นธรรมชาติ 3 ปีแรกซึ่งขาทั้งสองยังยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ ฉันไม่รู้ว่า ภายใต้ผืนดินมีเมล็ดนนทรี ซึ่งกำลังรอวันงอก รอความชุ่มชื้น รอแสงแดด แต่มีความอบอุ่นอยู่ในผืนดินแล้ว
พ.ศ.2486 ฉันก็ได้เห็นยอดอ่อนโผล่ขึ้นมาจากพื้นผิวดินเป็นครั้งแรก ‘วิญญาณฉันรักพื้นดินยิ่งชีวิต’ จึงรู้ว่าทุกชีวิตที่งอกขึ้นมาใหม่ ล้วนมีวิญญาณความรักพื้นดิน ทำให้ใจฉันรู้คุณค่าของตน ร่วมกับชีวิตทั้งหลายอย่างสุดซึ้ง
ฉันจึงเฝ้าทะนุบำรุงชีวิตที่เจริญตามมา เพื่อหวังจะได้เติบโตขึ้นมาร่วมกับชีวิตฉัน อย่างรู้คุณค่าของแผ่นดินถิ่นเกิด
ฉันรู้ใจตัวเองอย่างลึกซึ้งมาตลอด สู้ทำทุกสิ่งซึ่งตนมีโอกาสสัมผัสได้โดยที่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายที่อยู่รอบข้างต่างก็ให้โอกาสฉันเรียนรู้ความจริงเท่าเทียมกันหลายครั้ง และรู้สึกไม่ได้ว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้จากภาพภายนอกจะเห็นว่าได้รับความช่วยเหลือ แต่ภายในกระแสจิตวิญญาณก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้คนทั้งหลายทำจากความจริงใจหรือต้องการเอาใจกัน?
ในที่สุดฉันก็สมัครใจถอยจากการอาศัยร่มเงาของนนทรีต้นที่เคยพักพิงร่มเย็น ออกมายืนกลางกระแสลมและแสงแดดอย่างท้าทาย เพื่อแสดงถึงความแกร่งกล้าของหัวใจตัวเอง
แม้หลายคนอาจไม่เข้าใจฉันคงไม่สนใจ โดยเหตุที่รู้ว่าสัจธรรมว่า แม้จะรู้ว่าอาจไม่เข้าใจความจริง... เนื่องจากรากฐานฉันมั่นคงอยู่กับความจริงเสมอ ใจฉันต่างหากที่ต้องกล้าตัดสินใจทำบนพื้นฐานความเชื่อในเหตุผล”

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ระบุว่า ต้นนนทรีเป็นต้นไม้ประจำ มก.ตั้งแต่ปี 2506 เพราะเป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืน มีใบสีเขียวแก่ ซึ่งหมายถึงความเขียวขจีของเกษตร และมีดอกสีเหลืองทอง หมายถึง สีเหลืองของคณะเกษตร
โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ย.2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูกต้นนนทรีจำนวน 9 ต้น บริเวณหน้าอาคารหอประชุมมก.และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณร่วมทรงดนตรีที่หอประชุมมก.เป็นครั้งแรกด้วย พร้อมกันนี้ได้มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งเกี่ยวกับต้นนนทรีว่า
"ขอพูดอะไรสักหน่อย วันนี้ได้รับเชิญมาปลูกต้นไม้ ก็ทำให้คิดว่า การปลูกต้นไม้ก็จำเป็นจะต้องเลือกว่าต้นอะไรจึงจะดี เหมาะสำหรับมหาวิทยาลัย
ต้นไม้อะไร ๆ ก็สีเขียว ต้นนนทรีที่เลือกเป็นต้นไม้ของเกษตร ก็เหมาะสมที่มีสีเขียวด้วย เหมาะมากและน่ายินดีมากที่ต้นนนทรีนั้นปลูกได้ทั่วทุกแห่งของไทย เพราะทนแล้ง ทนแดดได้ นี่เป็นความหมายที่ดี เพราะคนไทยถ้าปลูกในแผ่นดินไทยก็เติบโตดีและเจริญดี
ต้นไม้ต้องมีดิน จึงจะเจริญได้ดี ถ้าเอาไปใส่ในกระถาง หรือเอาไปปลูกในน้ำ หรือปลูกในน้ำยาคุณภาพดีๆ จากต่างประเทศ ก็จะหงอยอยู่ไม่ได้ เขาต้องการดิน
ขอฝากต้นไม้นี้ให้มหาวิทยาลัยและนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลายขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่าตัวเองนั้นจะอยู่กันได้ก็ด้วยแผ่นดินไทย ขอให้ช่วยกันรักษาแผ่นดินไทยไว้ด้วย คนไทยถ้าไร้แผ่นดินก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไม่ได้ และเราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น".
