ไว้ทุกข์นโยบายย่ำยีการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
หมายเหตุ-เป็นจดหมายที่เขียนโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ สวทช.ในหัวข้อ “ไว้ทุกข์ให้กับความถดถอยของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย” สะท้อนเห็นวิสัยทัศน์ของนักการเมืองที่เข้ามาเป็นผู้บริหารว่า เป็นอย่างไร

หลังที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศนโยบายเพิ่มค่าใช้จ่ายวิจัยของประเทศเป็น 1-2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากเดิมที่อยู่ที่ประมาณ 0.25% ซึ่งพวกเราก็รู้สึกชื่นชมในวิสัยทัศน์ที่ต้องการเห็นประเทศขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แต่ในทางปฏิบัติ จากที่ผ่านมา 6-7 เดือน พบว่า การมอบหมายนโยบาย และการสั่งการต่างๆ ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ลงมายังหน่วยปฏิบัติอย่าง เช่น สวทช. ดูไม่ค่อยสอดคล้องกับนโยบายที่ประกาศดังกล่าว
จึงเกิดความเป็นห่วงว่า ในสภาวะที่มีพลวัติของการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายหลายประการที่เกิดกับประเทศของเรา จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ การสร้างนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว
แต่ให้ความสำคัญกับการมองงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือการสร้างธุรกิจเพื่อหารายได้เข้าหน่วยงานวิจัย เช่นที่เป็นอยู่ จะทำให้ขีดความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศเราลดลงเรื่อยๆ
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับ สวทช. ที่สำคัญๆ และจะส่งผลกระทบที่น่าจะไม่เป็นผลดีกับประเทศในระยะยาว ได้แก่
1. การตัดงบประมาณสำหรับการวิจัยในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศน์ การวิจัยพลังงานจากชีวมวล ฯลฯ ซึ่งมีความจำเป็นที่เราต้องมีการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นกับโลก
ประโยชน์ของการวิจัยเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ คือนักวิจัยเข้าไปค้นหายีนที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ยีนทนแล้ง ซึ่งอาจมีในพืชป่า เมื่อประเมินคุณค่าของยีนแล้วก็สามารถนำมาเก็บไว้และเพิ่มจำนวน แล้วนำยีนนี้ไปใส่พืชทางเกษตรกรรม เช่น ข้าวหรือข้าวโพด
ในทำนองเดียวกัน นักวิจัยก็ค้นหาจุลินทรีย์เพื่อใช้ผลิตยา เช่น ยาปฏิชีวนะ แล้วนำจุลินทรีย์มาเก็บและเพิ่มจำนวน ถ้าไม่ทำเช่นนี้ พืชที่มียีนทนแล้งและแหล่งที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ก็อาจจะสูญพันธ์ไปเมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ งบประมาณเพื่อการวิจัยเทคโนโลยีฐาน ซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้เพื่อวางรากฐานสำหรับการประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ ในระยะยาวก็ถูกตัด
ในภาพรวม สวทช. ถูกปรับลดงบประมาณปี 57 ลงเกือบ 30% ของงบประมาณที่ได้รับในปี 56 ในขณะที่ สวทช. มีบุคลากรวิจัยในระดับปริญญาโท-เอก กว่า 870 คน และกว่า 43% เป็นนักเรียนทุนที่รัฐบาลส่งไปเรียน ด้วยมุ่งหวังว่าจะให้กลับมาทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ และช่วยเพิ่มสัดส่วนบุคลากรวิจัยต่อประชากรของประเทศซึ่งยังต่ำอยู่ และต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น สิงคโปร์ มาก
2. การสั่งการให้ดำเนินงานโดยเน้นกิจกรรมที่มุ่งทำรายได้ให้แก่องค์กร (หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนทำได้และทำอยู่แล้ว) มากกว่าการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้สำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งถือเป็นการใช้คนผิดประเภท ไม่ตรงกับความเชี่ยวชาญและความสามารถที่อุตส่าห์ใช้เงินภาษีของประชาชนส่งเขาไปเรียนจนจบปริญญาเอกมา
ทำให้นักวิจัยหลายคนที่รักงานวิจัย ไม่ได้ทำงานวิจัย แต่ต้องไปเริ่มศึกษางานที่ตนเองไม่มีความถนัด และมีคนอื่นที่ทำได้ดีกว่า เช่น การค้าขายพืชผลทางการเกษตร ซึ่งน่าจะเป็นบทบาทของกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งภาคเอกชน
อีกทั้งยังมีการสั่งการว่า หน่วยงานใดต้องการบุคลากรของ สวทช. ไปทำงาน ให้แจ้งมาที่ รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล)รัฐมนตรีจะจัดการส่งคน สวทช. ไปทำงานกับหน่วยงานเหล่านั้น ซึ่งในแง่ของการบริหารบุคคล การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของบุคลากร สวทช. เป็นอย่างมาก
3. จากสิ่งที่เกิดในข้อ 1 และ 2 ทำให้สิ่งที่รัฐบาลประกาศไว้ว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายวิจัยในภาพรวมของประเทศเป็น 1-2% ของ GDP ไม่น่าจะเป็นจริงได้ เนื่องมาจากทั้งการตัดงบประมาณ และงบประมาณที่ได้มาจำนวนมากถูกนำไปใช้ในกิจกรรม/การดำเนินงานที่ไม่ใช่การวิจัย
4. การทำงานขาดความคล่องตัว เนื่องจากมีการสั่งการว่ากิจกรรมหลายๆ อย่าง เช่น การลงนามในข้อตกลง (Agreement ) แม้จะเป็นกรณีที่ต่างประเทศให้ทุนวิจัย ซึ่งเป็นการผูกพันระดับหน่วยงาน การจัดซื้อจัดจ้างถ้ามีจำนวนเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาท จะดำเนินงานได้ต้องให้รัฐมนตรีดูก่อน แม้ว่าจะอยู่ในแผนการทำงานที่ได้วางไว้แล้วก็ตาม
ในฐานะผู้ปฏิบัติ พนักงานเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ ไม่น่าจะเหมาะกับองค์กรที่ทำงานวิจัยซึ่งในหลายประเทศ มุ่งให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน เพื่อให้สามารถรองรับพลวัติภายนอกรวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้อย่างทันการณ์ ซึ่งเป็นเหตุผลในการตั้งองค์กรอย่าง สวทช. มาตั้งแต่ต้น
5. การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการมีนวัตกรรมลดลง เนื่องจากต้องทำตามสั่ง ถูกจำกัดกรอบและวิธีคิด สวนทางกับการพัฒนาบุคลากรในประเทศต่างๆ ที่มุ่งกระตุ้นให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรม
ดังนั้น วันที่ 20 พฤษภาคม 2556 ขอทุกองค์กรร่วมแสดงพลังแต่งชุดไว้ทุกข์พร้อมกัน.
