ฟังเหตุผล ‘ทรงผมนักเรียน’ เหตุไฉนเด็กถึงไม่อยากเกรียน
“เรื่องเรียนก็สำคัญ แต่เรื่องสิทธิก็สำคัญไม่แพ้กัน จะมาปฏิเสธอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะคุณเป็นนักเรียน ไม่ใช่หุ่นยนต์ คุณมีจิตใจ มีเหตุผล มีอุดมคติ ถ้าแค่สิทธิทางทรงผมหรือการแต่งกายยังมีไม่ได้ มันก็ขัดกับหลักการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ทั้งสองอย่างมันต้องไปด้วยกัน”
คงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หวังเอาไว้เสียแล้ว หลังจากออกหนังสือเวียนให้สถานศึกษาปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2518 เรื่องข้อปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมนักเรียน แม้ว่ามีหลายโรงเรียนบังคับใช้ตาม เช่น โรงเรียนมัธยมวัดมกุฎกษัตริย์ แต่ก็ยังมีอีกหลายโรงเรียนอีกเช่นกัน อาทิ โรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่ออกโรงทัดทานประกาศดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นอัตลักษณ์ประจำโรงเรียนมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง
ส่งผลให้มีกลุ่มนักเรียนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการไว้ทรงผมนักเรียนออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ก มีอยู่ 3 เพจที่ออกมาเรียกร้องให้โรงเรียนปฏิบัติตามประกาศกระทรวงฯ คือเพจ ‘สหายเดียร์’ ‘องค์กรต่อต้านทรงผมนักเรียนไทยแห่งประเทศไทย’ และ ‘สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย’ โดยแสดงถึงจุดยืนถึงสิทธิและเสรีภาพของนักเรียนในเรื่องทรงผม
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2556 สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง ‘The New York Times’ ได้พาดหัวข่าวถึงโรงเรียนไทยว่า “In Thailand’s Schools, Vestiges of Military Rule” ซึ่งหมายความว่า “โรงเรียนไทยเป็นมรดกของการปกครองจากระบอบทหาร” พร้อมโพสต์ภาพเด็กนักเรียนไทยที่ยังตัดทรงผมนักเรียนแบบเก่าหรือ ‘เกรียน’ อยู่
(คลิกอ่าน The New York Times (http://www.nytimes.com/2013/05/29/world/asia/thai-students-find-government-ally-in-push-to-relax-school-regimentation.html?pagewanted=all&_r=0)
ตกลงแล้ว ‘ทรงผม’ ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ขนาดไหนสำหรับนักเรียนไทย ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ทั้ง 3 เพจได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายประแสง มงคลศิริ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รับมอบหนังสือ และกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมันเล็กก็จริง แต่กลับซ่อนมิติในเรื่องของการมีส่วนร่วมของประชาคมอยู่ด้วย และน่าจะเปิดพื้นที่สำหรับที่จะหาข้อยุติร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
นายประแสง อธิบายว่า กระทรวงศึกษาฯ ยินดีที่เห็นเด็กสมัยนี้ กล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเอง ส่วนเรื่องโรงเรียนที่ยังไม่ปฏิบัติตามนั้น หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีลงมติ ถ้าไม่มีการแก้ไข คาดว่าภายในสองอาทิตย์จะมีผลบังคับใช้ตามกฏหมาย
“ก็ยินดีครับ กระทรวงศึกษาฯ พร้อมที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปสุดซอย” นายประแสง กล่าวทิ้งท้าย
และ ทั้ง 3 เพจยังเปิดแคมเปญเรียกร้องโรงเรียนในสังกัด ศธ. บังใช้กฎกระทรวงฯ ปี 2518 และเปิดร่วมลงชื่อให้โรงเรียนบังคับใช้กฎระเบียบให้สอดคล้องกับกระทรวงศึกษาฯ ฉบับล่าสุด โดยจุดประสงค์ส่วนหนึ่งระบุว่า “เพื่อเรียกร้องให้โรงเรียนที่อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาฯ บังคับใช้กฎให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงฯ ปี 2518 เนื่องจากเป็นกฎที่ให้สิทธิอันชอบธรรมและพึงมีพึงได้ในการไว้ทรงผมที่มีเสรีภาพมากขึ้นแก่นักเรียน จึงควรมีการบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันทุกโรงเรียน”
เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมปัจจุบัน ‘นักเรียนไทย’ หันมาใส่ใจพื้นฐานด้านสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ยอมรอมชอมกับสิ่งที่ละเมิดสิทธิเขาเป็นอันขาด
นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล หนึ่งในผู้ร่วมขับเคลื่อนเครือข่ายสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศรา ถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็มีคนสนใจตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ แต่อาจจะไม่มีการจัดตั้งกลุ่มอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเรียกร้องประเด็นนี้ ทว่าปัจจุบันมีสื่ออย่างโซเชียลเน็ตเวิร์ครองรับ ทำให้เกิดการตื่นตัวกันมาก เพราะไม่ได้มีแค่เราคิดอยู่เพียงคนเดียว
เนติวิทย์ อธิบายว่า ทรงผมไม่เป็นปัญหาที่ใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เล็ก เพราะถ้ายังมีกฎแบบนี้อยู่ก็จะทำให้เด็กไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่กล้าตั้งคำถาม หรือตั้งคำถามแต่ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจน ดังนั้นกฎทรงผมจึงเป็นตัวขัดขวางในจุดนี้ และเราไม่ได้มองแค่เรื่องทรงผม แต่ต้องการแก้ไขโครงสร้างการศึกษาไทยทั้งระบบ เพื่อไม่ให้การเรียนการสอนไทยเป็นแบบโรงงานอย่างปัจจุบัน
“เรื่องเรียนก็สำคัญ แต่เรื่องสิทธิก็สำคัญไม่แพ้กัน จะมาปฏิเสธอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะคุณเป็นนักเรียน ไม่ใช่หุ่นยนต์ คุณมีจิตใจ มีเหตุผล มีอุดมคติ ถ้าแค่สิทธิทางทรงผมหรือการแต่งกายยังมีไม่ได้ มันก็ขัดกับหลักการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ทั้งสองอย่างมันต้องไปด้วยกัน” เนติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย
พอเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมว่า ‘ทรงผมนักเรียน’ นั้นสำคัญไฉน ?
ภาพประกอบ http://nyti.ms/15hFXOV