โทษอากาศร้อน เป็นเหตุ ไข่แพง คาด 2 เดือนราคาตก
นักวิชาการชี้ไข่ไก่ไม่แพงอย่างที่คิด คาดอีก 2 เดือนราคาปรับตัวลดลง ระบุอากาศร้อนเป็นสาเหตุไข่ไก่ลด-ราคาสูงจริง ภาคเอกชนเสนอเกษตรกรรวมกลุ่มสหกรณ์สร้างฐานแข่งขันมาตรฐานสินค้า

วันที่ 4 มิ.ย. 56 คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา ‘ไข่แพง (อีกแล้ว)’ ณ อาคาร 60 ปี สัตวแพทย์ศาสตร์ โดยมี ศ.น.สพ.จิโรจ ศศิปรียจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคสัตว์ปีก คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, น.สพ.กิตติ ทรัพย์ชูกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลีนกรีนเทค จำกัด, ดร.วิชัย เตชะวัฒนานันท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ และนางจุฑามาศ บุญแสง สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย ร่วมเสวนา
ศ.น.สพ.จิโรจ กล่าวถึงไข่ไก่ที่มีราคาแพงชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานราคาก็ถูกจนเกษตรกรขาดทุน ซึ่งเกษตรกรขาดทุนมาหลายปีแล้ว โดยในมุมมองฐานะผู้บริโภคยังไม่อยากให้คิดว่าราคาไข่ไก่ปัจจุบันแพง พร้อมคาดว่าภายใน 2 เดือนข้างหน้า ราคาก็จะปรับตัวลดลง แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ เกษตรกรรายย่อยจะประสบปัญหาขาดทุนอีก ดังนั้นจะหวังพึ่งภาครัฐเยียวยาอย่างเดียวไม่ได้ แต่ควรรวมตัวในภาคธุรกิจดูแลกันเองมากกว่า โดยให้ธุรกิจรายใหญ่ช่วยเหลือธุรกิจรายเล็ก เพื่อความอยู่รอด
ส่วนกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าอากาศร้อนทำให้ไข่ไก่ลดลง ส่งผลราคาแพงนั้น ศ.น.สพ.จิโรจ กล่าวว่า เป็นความจริงส่วนหนึ่ง พร้อมทั้งไม่อยากให้โยนเรื่องกรณีราคาข้าวแกงแพงขึ้น เป็นผลมาจากไข่ไก่เพียงอย่างเดียว
ด้านนางจุฑามาศ กล่าวถึงสาเหตุราคาไข่ไก่มีราคาแพงอาจเกิดจากโรคระบาดและอากาศที่ร้อนขึ้น ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ลดน้อยลง ดังนั้นเกษตรกรที่ไม่อยากประสบภาวะขาดทุนช่วงนี้จึงควรชะลอจำนวนไก่ไข่ที่เลี้ยง และหันมาให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตมากขึ้น พร้อมเปรียบเทียบราคาไข่ไก่ฟองละ 3.50 บาทกับราคาไข่เป็ดในปัจจุบัน 4.50 บาท แต่กลับไม่มีการร้องเรียนแต่อย่างใด
ส่วนดร.วิชัย กล่าวถึงปัญหาภาพกว้างในอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ไข่ไทยมีสาเหตุ 4 ด้าน คือ 1.ความไม่สมดุลด้านผลผลิตกับความต้องการ 2.ความต้องการบริโภคไข่ไก่ของคนไทยอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยต่ำ 3.ผลผลิตไข่ไก่ส่งขายในประเทศเป็นหลัก 98% ขณะที่ 2% ส่งออก และ 4.ขาดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเหมือนกับเนื้อหมูและเนื้อไก่
"ปัญหาข้อมูลตัวเลขและข้อเท็จจริงระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนยังมีความแตกต่างกัน รวมถึงขาดการกำกับดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จึงเสนอให้กรมปศุสัตว์ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมการค้าภายใน และภาคผู้เลี้ยงจะต้องผนึกกำลังทำงานให้เป็นหนึ่งเดียว นอกจากนี้บอร์ดภาคเอกชนต้องกำกับดูแลใกล้ชิดมากกว่าปัจจุบันด้วย"
ขณะที่น.สพ.กิตติ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการไข่ไก่ที่มีคุณภาพถูกต้องตามหลักโภชนาการ ทำให้ระบบการค้าปลีกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นในฐานะเป็นผู้เลี้ยงไก่ไข่จำเป็นต้องสร้างระบบโครงสร้างการเลี้ยงเหล่านี้ให้ได้มาตรฐาน ซึ่งง่ายสำหรับภาคเอกชนรายใหญ่ที่มีเงินทุนสูง แต่เกษตรกรรายย่อยกลับลำบาก จึงเสนอให้ปรับตัวโดยรวมตัวเป็นสหกรณ์ดำเนินกิจการภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง จะสามารถแข่งขันด้านมาตรฐานของสินค้ากับภาคเอกชนรายใหญ่ได้
"หากมีการบริหารจัดการโรงเรือนที่ดีไข่ไก่จะไม่ลดน้อยลงแน่นอน" น.สพ.กิตติ กล่าว และย้ำว่าภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากไข่ไก่จากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะไหลเข้ามาในประเทศจนส่งผลต่อราคาได้ในอนาคต
