เล่าเรื่องในวันเจรจา ตอนที่ 1 : ผลสรุป P4P ชนะหรือหลงกล

หลังการเจรจา ร้อนๆ จากทำเนียบรัฐบาล ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกลุ่มแพทย์ชนบท เฟชบุค ชมรมแพทย์ชนบท รายงานผลสรุป โดยมีบรรยากาศการเจรจาที่มีทั้งการชิงไหวชิงพริบ มีการบิดเพื่อปกป้องตนเองไม่ให้เสียหน้าอยู่พอสมควร ซึ่งโดยสรุป กลุ่มแพทย์ชนบทชนะ แต่ชนะไม่ขาด
หมอประดิษฐยอมถอยเรื่อง P4P เสนอว่า เมื่อหลาย รพช.ไม่มีความพร้อมก็ขอให้ชลอการทำ P4P ไปก่อนได้ใน รพ.ที่ไม่พร้อมจนถึง 30 ก.ย.นี้ และกระทรวงฯ จะเยียวยาความเสียหายหรือส่วนขาดที่ตกหล่นไปจากประกาศเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับที่ 8 โดยทุกคนจะเบิกได้เท่ากับฉบับที่ 4, 6 ไปก่อน จนกว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจะสามารถร่างระเบียบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ 8 ใหม่หรืออาอจเรียกว่าฉบับ 10 ขึ้นมาใช้แทนฉบับ 8 เก่า และพอ 1 ตุลาคม ก็ขอให้มาทำ P4P เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล และยินดีให้คณะกรรมการชุดนี้ปรับวิธีการทำ P4P ให้สอดคล้องกับ รพช.
สาระหลักประมาณนี้ แต่แน่นอนว่าในการแถลงที่พูดโดยไม่ได้เขียนเรียบเรียงคำให้ดีก็ชวนสับสนมากจริงๆ
หลังจากปิดการเจรจา แพทย์ชนบทและเครือข่ายประกาศชัยชนะแล้ว ก็มีการคุยกันเองในวงเล็กวิเคราะห์และแจกแจงรายละเอียดการคุย เพราะการเจรจาไม่ได้มีแต่วงใหญ่โต๊ะกลม 30 คน หรือวงโต๊ะกลมข้าวเที่ยง 10 คน แต่ยังมีวงกระซิบ 2 ต่อสอง วงสามคนสี่คนด้วย เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราว ความกระจ่างก็ชัดขึ้น
วันนี้สัญญาณถอยของสุรนันทน์และประดิษฐนั้นชัด คงเพราะนายสั่งมา ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้มีการชุมนุมหน้าบ้านายกฯ แต่โจทย์ทางการเมืองคือ “ถอยอย่างไรไม่ให้เสียหน้า” ให้ยังมีรูหายใจบ้าง ดังนั้น จุดยืนแพทย์ชนบทที่ว่า “เอาประกาศเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ 4, 6 คืนมา” นั้น เป็นสิ่งที่ประดิษฐให้ไม่ได้ เพราะแสลงเหมือนกับแพ้ แต่ประดิษฐสามารถให้ประกาศฉบับ 10 ได้ ซึ่งเกิดจากการคุยร่วมของกรรมการที่มีแพทย์ชนบทครึ่งหนึ่งอยู่ในกรรมการนั้น ซึ่งเราจะร่างประกาศฉบับ 10 ให้มีสาระเหมือนฉบับ 4,6 และเพิ่มอัตราของวิชาชีพเภสัช พยาบาล และอื่นๆให้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และระหว่างที่รอประกาศฉบับ 10 นั้น ก็ให้มีการเยียวยาชดเชยส่วนที่ได้น้อยไปจากฉบับ 8 จนเท่ากับอัตราของเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ 4,6
แปลชัดๆอีกครั้งว่า “เราชนะขาด 95%” เสมือนได้ประกาศฉบับ 4,6 กลับมา แต่กลับมาในขวดใหม่ที่ติดฉลากว่า “เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามประกาศฉบับที่ 10”
แม้จะมีความไม่แน่นอนบ้างก็ตรงการร่างประกาศฉบับ 10 ให้ได้อย่างที่เราอยากให้เป็น อันนี้ขึ้นกับความสามารถของคนที่จะเข้าไปเป็นกรรมการ
ส่วนเรื่อง P4P นั้น ประดิษฐถอยกรูดไปสามก้าว ยอมชะลอการทำจนถึงสิ้นกันยาฯ นี้ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ (อันนี้ยังงง งง ว่า แล้ว รพศ./รพท.ไม่ทำได้ไหม หากตามสิ่งที่ประดิษฐพูดก็คือ รพศ./รพท.ไม่ทำก็ได้ แต่ทั้งปลัดณรงค์และประดิษฐคงไม่ยอม) ส่วนหลัง 1 ตุลาคม ทุก รพ.ต้องทำ P4P เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล แต่ประดิษฐเปิดช่องให้เป็น P4P แบบที่เราออกแบบเองได้ตามบริบท รพช. แต่ขอให้ทำและเรียกว่า P4P เพราะจะได้ไม่เสียหน้า
นั่นแปลว่า เราต้องมีคณะกรรมการมาทำหน้าที่จัดทำเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงานแบบที่วัดผลลัพธ์ ( P4P ที่แท้จริง โดยร่างขึ้นมาใช้แทนเกณฑ์ P4P แบบ workpoint ที่เก็บรายละเอียดหยุมหยิม สร้างความทุกข์ให้กับทุกคนเพียงแลกเศษเงิน)
โดยสรุปก็คือ ก่อนตุลาคม ทำหรือไม่ทำ P4P ก็ได้ให้เป็นความสมัครใจ หลังตุลาคมก็ทำ P4P แต่เป็น “เหล้าใหม่ในขวดเก่าที่ยังต้องติดฉลากว่า P4P” แต่สาระเนื้อหาวิธีวัดและการจ่ายนั้น เป็นไปตามที่เราจะเสนอ ไม่ใช่แบบเดิม ความยากก็อยู่ที่เราจะสามารถวางรูปแบบการจ่ายตาม performance หรือ output outcome ตามแบบที่ควรจะเป็นจนเป็นต้นแบบของโลกนั้น เราจะทำได้หรือไม่
ว่าไปแล้ว แพทย์ชนบทชนะคะแนนขาดลอยในการเจรจาครั้งนี้ แม้จะไม่สามารถน๊อคคาเวทีได้ ซึ่งเราเองก็ไม้ได้ต้องการขนาดนั้น คู่ต่อสู้ประคองตัวหลบฉากถอยกรูด ขอแค่ไม่ให้เสียหน้า ยอมเยียวยาจนเท่าฉบับ 4,6 สำหรับทุกคนและออกประกาศเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ 10 ที่มีสาระแบบฉบับ 4,6 plus มาใช้แทนฉบับ 8 และยอมให้เราร่วมกับกระทรวงทำเกณฑ์ P4P ใหม่แต่ขอให้เรียกว่า P4P ห้ามเรียกเป็นชื่ออื่น
“เราชนะทางเนื้อหาโดยสมบูรณ์ แต่ประดิษฐก็ไม่แพ้จนหมดรูป เพราะยังพอจะรักษาหน้าตนเองไว้ได้บ้างว่าแพทย์ชนบทยินดีทำ P4P”
หมอเกรียงศักดิ์ สรุปทิ้งท้ายว่า “หาก P4P ใหม่แต่งตัวยังไม่สวย จนตุลาแล้วก็ยังไม่สวย เราก็จะไม่เลือกที่จะทำ P4P
