เล่าเรื่องในวันเจรจา ตอนที่ 2 : ผลสรุปการเจรจาอีก 3 ประเด็น ชนะน็อคทั้ง 3 หัวข้อ

วันที่ 8 มิถุนายน กลุ่มแพทย์ชนบท โพสต์เฟชบุค เล่าบรรยากาศควันหลงการนั่งเจรจาระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับกลุ่มแพทย์ชนบท เป็นตอนที่ 2
ข้อตกลงจากการเจรจาอีก 3 ประเด็น ขอบอกกล่าวความในใจว่า การเจรจากับการทำม็อบนั้นคนละอารมณ์และคนละทักษะเลยจริงๆ
ใน mode การเจรจานั้น มีการลงรายละเอียดมากมาย เป็นการต่อรองเป็นการกำหนดท่าทีที่ต้องใช้ไหวพริบและความมั่นคงมาก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้องลงรายละเอียด ทำให้ภาพการเจรจาผลที่ออกมานั้นเหมือนประดิษฐได้เปรียบ แต่แท้จริงในส่วนสาระนั้น แพทย์ชนบทขอบอกว่า ประดิษฐเพียงแค่ชิงพื้นที่สื่อได้มากกว่า แต่สาระนั้นฝ่านเราได้ชัยชนะในเกือบจะทุกข้อ ยกเว้น P4P ที่ยังคลุมเครืออยู่บ้าง แต่ไม่น่าหาวง เพราะเรายังชัดและแข็งในจุดยืนเดิม แต่อีก 3 ประเด็นชัดเจนและตรงตามข้อเรียกร้อง
ขอรายงานผลสรุปการเจรจาอีก 3 ประเด็นให้ทราบกัน
เรื่องการปลด นพ.วิทิตนั้น
จบลงตรงที่จะมีการตั้งคณะกรรมการที่มีผ่ายเราเกือบทั้งหมด เข้าไปดูผลการสอบสวน ไปดูหลักฐานข้อเท็จจริง ไปสอบสวนสอบถามเพิ่มเติม เพื่อทำข้อสรุปออกมาว่า เป็นการปลดที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการนี้ไม่ใช่ประดิษฐลงนามเพราะเราไม่ยอมรับประดิษฐ ซึ่งเป็น model เดียวกับกรณีทุจริตยาปี 2541 ที่นายกชวน หลีกภัย ตั้ง อาจารย์ นพ.บรรลุ ศิริพานิช ท่านเปาแห่งวงการสาธารณสุขเป็นประธานสอบสวน จนนำไปสู่การดำเนินการมากมายต่อไปจน รมต.รักเกียรติ เข้าคุก
อันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด ที่ได้คณะกรรมการชุดนี้มา และเป็นก้าวสำคัญของการคืนความเป็นธรรมให้หมอวิทิตและปกป้ององค์การเภสัชกรรมไม่ให้โดนแทรกแซง
ในส่วนของประเด็น co-pay หรือร่วมจ่ายนั้น ทางรัฐบาลยืนยันว่าไม่มีนโยบาย ความจริงประดิษฐ์มีความพยายามที่จะให้มี co-pay ร่วมจ่ายแม้ไม่มีนโยบาย เพื่อเปิดช่องให้ระบบหลักประกันสุขภาพก้าวเข้าไปใกล้สนับสนุนรับใช้โรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น หากเปิดช่อง co-pay ประชาชนจ่ายสมทบได้ เอกชนคงยิ้มร่า และแน่นอนว่าเงินในกระเป๋าประชาชนจะหายไปอีกมากไปเป็นกำไรของแพทย์พาณิชย์ และเกิดการแพทย์สองมาตรฐานขึ้นมาอย่างแน่นอน อันนี้คงได้เพียงการเขียนลงในผลการเจรจาที่ให้ ครม.รับทราบยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายนี้ พอเปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องว่ากันใหม่
ในประเด็นการแยกผู้จัดบริการคือกระทรวงสาธารณสุขและผู้ซื้อบริการคือสปสช. หรือที่เรียกว่า purchaser-provider split นั้นเป็นหลักการที่ดีที่สำคัญที่สุด ที่ต้องแยกกัน เพื่อการคานและดุลยอำนาจกัน แต่มีการความพยายามของประดิษฐและปลัดณรงค์ที่จะทำให้หลักการนี้เพื้ยนไป ด้วยการให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้กำหนดการจัดสรรเงิน แล้วส่งข้อสรุปให้ สปสช.เป็นเพียงพนักงานโอนเงินไปให้ รพ.ตามที่กระทรวงสั่งการ แบบนี้ก็ไปเข้าทางกระทรวง เกิดปรากฏการณ์ไม้ไอติมเช่นในอดีต งบกว่าจะถึงพื้นที่ก็ถูกเลียถูกดูดจนแทบเหลือแต่ไม้ จากการเจรจาก็สามารถทำให้ประดิษฐพูดออกมาว่า ไม่มีแนวคิดนี้ และจะยังให้ อปสข. ของ สปสช.เป็นองค์กรหลักในการจัดสรรเงินต่อไปเช่นเดิม ซึ่งน่าจะหยุดแนวคิดและการกระทำอันเป็นการทำลายระบบหลักประกันสุขภาพไปได้สักปี
ส่วนเรื่อง P4P นั้นก็เป็นไปอย่างที่เขียนในตอนที่ 1
