“ปรีดิยาธร” ถาม “วราเทพ” ตอบ ...ว่าด้วยอันตรายของ “เงินนอกงบประมาณ”

(ที่สองจากซ้าย ปรีดิยาธร เทวกุล - ที่สองจากขวา วราเทพ รัตนากร)
เช้าวันที่ 13 มิ.ย.2556 มีงานเสวนา Thaipublica Forum ครั้งพิเศษ ในหัวข้อ “งบฯแผ่นดิน เงินของเรา เขาเอาไปทำอะไร?” โดยมีกูรูด้านเศรษฐกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดทำงบประมาณหลายมาเป็นวิทยากร
ประเด็นที่น่าสนใจบนเวทีก็คือเรื่องการใช้ “เงินนอกระบบงบประมาณ”
โดย “นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์” รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้เบิกประเด็นนี้ก่อนว่า จากนี้ไปจะดูแค่งบประมาณปกติไม่ได้แล้ว เพราะการลงทุนต่างๆ จะใช้เงินนอกระบบงบประมาณ ทั้งจาก พ.ร.ก.กู้เงินบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และ พ.ร.บ.กู้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
“ในฐานะที่ดูแลด้านรายจ่ายของรัฐบาล ขอยืนยันว่าจะไม่ทำให้หลุดจากกรอบความยั่งยืนทางการคลัง คือมีตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ไม่เกิน 50% ซึ่งการดำเนินต่างๆ ของรัฐบาลเวลานี้ ส่วนตัวมองว่าเหมาะสม เพราะยังมี fiscal space อีกระดับหนึ่ง ยังมี room ให้สามารถกู้เงินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก” รองปลัดพงษ์ภาณุยืนยัน
แม้ “ฝ่ายประจำ” จะยืนยันว่าจะควบคุมดูแล “ฝ่ายการเมือง” ไม่ให้ใช้เงินเกินตัวจนสร้างปัญหา แต่ “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ซึ่งร่วมเป็นวิทยากรบนเวทีด้วย ก็ยังเป็นห่วงเรื่องการใช้ “เงินนอกระบบงบประมาณ” จึงคว้าไมโครโฟนขึ้นถาม “นายวราเทพ รัตนากร” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยตัวเอง
ม.ร.ว.ปริดิยาธร ตั้งคำถามแรกว่า รัฐบาลนี้กู้เงินนอกระบบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีโอกาสจะเกิดการกู้เงินเช่นนี้ในอนาคตหรือไม่ ควรจะต้องออกกฎเกณฑ์ไม่ให้การกู้เงินนอกระบบทำได้ง่ายๆ หรือไม่ เพราะมีสิ่งอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่
นายวราเทพ จึงตอบว่า คงต้องแยกที่มาเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท และเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทเป็นเหตุจำเป็น ซึ่งรัฐบาลไม่ตั้งใจ จากเหตุการณ์น้ำท่วม ที่ร้ายแรงที่สุดในรอบร้อยปี ถ้าเราไม่ลงทุนจะดึงความเชื่อมั่นมาเช่นวันนี้ไม่ได้เลย
ส่วนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่ รมต.ประจำสำนักนายกฯ อยากเรียกว่า “งบ Thailand 2020” แทน โดยอ้างว่า ถ้าพูดตัวเลข 2 ล้านล้านบาท คนจะตกใจว่า เพราะเกือบเท่างบประมาณประจำปี (งบประมาณปี 2557 อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท
“เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท มันคือการลงทุนใน 7 ปี โดยเหตุที่ใส่ไว้ในงบประมาณปกติไม่ได้ เนื่องจากการลงทุนครั้งนี้ มันเป็นแผนในการเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งที่สำคัญของประเทศ ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถามว่าใส่ในงบประมาณปกติอย่างที่ฝ่ายค้านเสนอได้หรือไม่ ก็ใส่ได้ครับ แต่จะเกิดปัญหาตามมา เพราะแผนงานจะต้องเป็นงบผูกพัน จะมีปัญหาในการขอขยายเวลางบผูกพันข้ามปี ถ้าเอาไปใส่ในงบปกติ มันจะยากต่อการบริหารจัดการ”
นายวราเทพยังว่า การตรวจสอบเงินกู้ 2 ล้านล้านยังยากกว่างบปกติด้วยซ้ำไป เพราะฝ่ายค้านจะตรวจสอบเข้มข้น ในการจัดซื้อจัดจ้างทุกคนก็จับตา ถ้าอยู่ในงบปกติจะไม่มีใครพอ แต่พอเป็นงบแยกออกมา คนก็จะจับตาเหมือนกับเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ที่แทบจะถูกเอ็กซเรย์ทุกตารางนิ้ว
“ถ้ารัฐบาลหน้าจะมากู้อีก ก็ต้องมีเหตุผล มาเถียงกัน รวมทั้งไปดูว่าการเงินการคลังไปได้หรือไม่ หนี้สาธารณะจะไปได้หรือไม่ จะต้องมาตรวจสอบในทางการเมือง คือเอาอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ หรือถ้ารัฐบาลนี้ต่อ อาจจะอยากมีโครงการใหม่ ก็คงจะทำไม่ได้ เพื่อไม่ให้ขัดวินัยการเงินการคลัง”
คำถามที่สองจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็คือ หากรัฐบาลอื่นๆ ในอนาคตจะใช้เงินนอกระบบงบประมาณแล้วรัฐบาลนี้บ้าง จะมีอะไรมาเป็นตัวเบรกว่าจะให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกิน 50% เพราะตนเชื่อว่า สุดท้ายจะเกิน แล้วก็จะเปลี่ยนคำว่า 60% ก็ได้ 70% ก็ได้ ทั้งๆ ที่วินัยการเงินการคลัง เป็นตัวเบรกสำคัญไม่ให้ประเทศเซ
รมต.ประจำสำนักนายกฯ ตอบว่า ทุกรัฐบาลเมื่อเข้ามาก็ต้องฟังราชการ และราชการเองก็ไม่ได้ฟังรัฐบาลหมด ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ในสถานการณ์จริง รัฐบาลจะไปได้ยาก จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงว่า เมื่อนักการเมืองเข้ามาแล้วจะทำได้ทุกอย่าง มันไม่ได้ขนาดนั้น
“ผมยังเชื่อว่าระบบการคัดคานยังเข้มแข็งพอสมควร เห็นได้จากเรื่องจำนำข้าว ดังนั้นในอนาคต ไม่ว่ารัฐบาลไหนมา จะทำแบบไม่บันยะบันยัง จนทำให้เกิดความเสียหาย ผมเชื่อว่าคงจะทำไม่ได้ เพราะจะมีภูมิคุ้มกัน จากราชการ จากสื่อ และจากประชาชน”
“ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล” อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการบนเวที ช่วยยิงอีกคำถามว่า ถ้าหากรัฐบาลไหนๆ สามารถใช้เงินกู้นอกระบบงบประมาณได้ ต่อไปเงินในระบบงบประมาณจะมีความน่าสนใจน้อยลงไปเรื่อยๆ หรือไม่ เพราะการลงทุนสำคัญจะไปอยู่ที่เงินนอกระบบงบประมาณหด
รมต.ประจำสำนักนายกฯ ตอบว่า งบประจำปีต้องทำทุกปี การใช้เงินนอกงบไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ต้องมีความจำเป็นจริงๆ.
