วิธีสลาย “สงครามสี” ในสังคมออสเตรเลีย
สังคมออสเตรเลีย เคยมีความขัดแย้งเรื่อง "สีผิว" แต่ทุกวันนี้สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาใช้วิธีใดในการอยู่ร่วมกันท่ามกลาง "ความแตกต่าง"

(ในทุกปี จะมีการจัดงานสัปดาห์ความสมานฉันท์แห่งชาติขึ้นทั่วประเทศออสเตรเลีย เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับความแตกต่างระหว่างชาวออสเตรเลียที่มาทีหลัง กับชนพื้นเมืองอย่างชาวอะบอริจินและชาวหมู่เกาะช่องแคบทอร์เรส)
“ผมอยู่ที่นี่มาจะสิบปีแล้วครับ” โชเฟอร์จากประเทศซูดานใต้กล่าว ขณะกำลังหักพวงมาลัยพาคณะผู้สื่อข่าวจากประเทศไทย วิ่งฝ่าอากาศเย็นยะเยือกเข้าสู่ใจกลางกรุงแคนเบอร์ร่า เมืองหลวงของเครือรัฐออสเตรเลีย
ปัจจุบันไม่ว่าคุณจะมีสีผิวอะไรก็สามารถเข้ามาประกอบอาชีพหรือพำนักอาศัยอยู่ในออสเตรเลียได้ ด้วย “นโยบายพหุวัฒนธรรม (Multiculturalism policy)” ที่เปิดกว้างมากขึ้น สำหรับการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ
แต่ถ้าย้อนไปราวศตวรรษก่อน แทบจะเป็นไม่ได้เลยที่พี่โชเฟอร์ผิวเข้มรายนี้จะเข้ามาทำงานในประเทศทะเลใต้แห่งนี้ได้ เนื่องจากนโยบายกีดกันทางสีผิวอย่าง “นโยบายออสเตรเลียผิวขาว (White Australia policy)”
ปลายเดือนพฤษภาคม 2556 ผมถือโอกาสหลบร้อน เหินฟ้าไปสัมผัสหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมในสังคมออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนของ "สำนักข่าวอิศรา" ตามคำเชิญของสถาบันออสเตรเลีย-ไทย กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลีย โดยการประสานงานของสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย โดยสัมผัสแรกแบบออสซี่ที่ได้พบเมื่อเหยียบสนามบินนานาชาติทัลลามารีน นครเมลเบิร์นแห่งรัฐวิกทอเรีย ก็คือลมหนาวที่พัดหวีดหวิวต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ตลอดเวลา 1 สัปดาห์ ที่ผมและคณะตะลอนไปตามเมืองใหญ่ ๆ ในออสเตรเลีย ทั้งเมลเบิร์น แคนเบอร์ร่า และซิดนีย์ สิ่งที่พบเห็นได้เป็นปรกติทั่วไปคือคนต่างสีผิว ต่างเชื้อชาติ เดินปะปนพูดคุยกันอยู่ในสังคมได้อย่างไม่เคอะเขิน
ถ้ามองจากภาพมุมสูงน่าจะคล้ายกับศิลปะของชาวอะบอริจิน-ชาวพื้นเมืองที่อยู่ในทวีปออสเตรเลียมากว่า 5 หมื่นปี ที่ได้เห็นใน National Gallery of Australia ในกรุงแคนเบอร์ร่าแห่งรัฐออสเตรเลียแคปิตอลเทอร์รีทอรี่ ที่ใช้วิธีแต้มจุดสีเข้ม-สีอ่อนไล่เกิดเป็นลวดลายสวยงาม นั่นแหล่ะคือสังคมออสเตรเลียในภาพที่คนซึ่งเพิ่งเคยมาเหยียบครั้งแรกอย่างผมได้เห็น
ปัจจุบันออสเตรเลียมีประชากรประมาณ 23 ล้านคน โดยข้อมูลจากการสำมะโนประชากรเมื่อ ค.ศ.2011 พบว่า มนุษย์แดนจิงโจ้ เกือบ 6 ล้านคนหรือกว่าหนึ่งในสี่เกิดนอกประเทศ
หลายคนใช้คำแทนสังคมออสเตรเลียว่า "melting pot" เพราะเป็นที่ ๆ คนกว่า 200 เชื้อชาติ ใช้ภาษาแตกต่างกันถึง 170 ภาษา และนับถือศาสนามากกว่า 100 ความเชื่อ มาอยู่ร่วมกัน ถือว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลาย (diversity) ประเทศหนึ่งในโลก
แต่ความหลากหลายนี้ของสังคมออสเตรเลีย เพิ่งเริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้นเอง
และก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ถ้าเป็นสักร้อยปีก่อน พี่โชเฟอร์จากทวีปแอฟริกา หรือกระทั่งคณะสื่อจากทวีปเอเชียอย่างพวกเรา อาจไม่มีโอกาสได้เข้ามาเหยียบประเทศนี้
...เพราะอะไร?
คำตอบก็เป็นเรื่อง ความแตกต่างระหว่าง “สี”
แต่ไม่ใช่เรื่อง “สีเสื้อ” อย่างที่กำลังขัดแย้งในประเทศเรา ทว่าเป็นเรื่องของ “สีผิว”
อีกคำตอบ ก็อาจชี้นิ้วไปที่ “นักการเมือง” !
...มันเกิดอะไรขึ้น???
(ภาพการ์ตูนที่วาดขึ้นใน ค.ศ. 1886 แสดงให้เห็นถึงสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นหากชาวจีนได้รับการอนุญาตให้เข้ามาในประเทศออสเตรเลีย - ภาพจากวิกิพีเดีย)
ในระหว่างที่ผมกำลังเขียนอยู่ ข่าวคนเสื้อแดงของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 เข้าปะทะกับกลุ่มคนหน้ากากขาวที่นัดใส่หน้ากาก V for Vendetta ชุมนุมประท้วงระบอบทักษิณที่บริเวณสวนสันติภาพ จ.เชียงใหม่ เมื่อเย็นวันที่ 14 มิ.ย.2556 กำลังได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์
เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งความขัดแย้งจาก “สงครามสีเสื้อ” ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานมาหลายปีแล้วในสังคมไทย และดูเหมือนจะไม่มีทางยุติลงง่าย ๆ
แต่ในแดนจิงโจ้เมื่อกว่าร้อยกว่าปีก่อน ได้เกิด “สงครามสีผิว” ขึ้น แม้ปัจจัยหลักจะมาเรื่องจากการแย่งงาน เมื่อคนจีนหลายหมื่นคนอพยพเข้ามาเสี่ยงโชคทำงานในเหมืองทองคำในออสเตรเลีย ทำให้ชาวเหมืองท้องถิ่นผิวขาวเกิดความไม่พอใจ จนเกิดเหตุปะทะกันนำไปสู่การจลาจลาจลหลายหนในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งการจลาจลในเมืองบั๊กแลนด์ (ค.ศ.1857) และการจลาจลแลมบิ้งแฟลท (ระหว่าง ค.ศ.1860 และ 1861) จนผู้บริหารรัฐวิกทอเรียและรัฐนิวเซาธ์เวลส์ต้องออกข้อบังคับเกี่ยวกับการเข้าเมืองของชาวจีน
ต่อมา ราว ค.ศ.1870 เมื่ออุตสาหกรรมน้ำตาลในรัฐควีนส์แลนด์เติบโตขึ้น ก็มีการนำชาวหมู่เกาะแปซิฟิกจำนวนเข้าเมืองมาเป็นแรงงานราคาถูก นำไปสู่ประท้วงอย่างต่อเนื่องโดยสหภาพการค้าว่าชาวเอเชียกับชาวจีนเข้ามาแย่งงานคนท้องถิ่นทำ ผลก็คือมีการออกกฎห้ามชาวจีนหน้าใหม่เข้ามาในเกาะที่ใหญ่ราวทวีปแห่งนี้อย่างเด็ดขาด !
เมื่อ 6 รัฐอาณานิคมบนทวีปออสเตรเลียรวมเป็นหนึ่งในปี ค.ศ.1901 และ “เอ็ดมันด์ บาร์ตัน” ชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของออสเตรเลีย ก็มีการออก พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจำกัดการเข้าเมือง (Immigration Restriction Act) ที่มีมาตรการสำคัญคือ dictation test ในการกันไม่ให้แรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานไร้ฝีมือเข้ามาทำงานในออสเตรเลีย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายกีดกันทางสีผิวอย่างนโยบาย White Australian
กฎหมายฉบับดังกล่าวได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากรัฐสภาออสเตรเลียในเวลานั้น โดย ส.ส.บรู๊ซ สมิธ ถึงกับกล่าวว่า "ผมไม่ต้องการเห็นคนอินเดีย คนจีน หรือคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชนชั้นต่ำ เข้ามาเป็นฝูงในประเทศแห่งนี้...แต่มันก็มีพันธะอยู่บ้างว่า เราจะไม่ไปคุกคามคนเชื้อชาติเหล่านั้นอย่างไม่จำเป็น หากว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นที่ได้รับการศึกษาแล้ว”
ทว่า ในเมื่อ “นักการเมือง” เป็น “ผู้ผูก” ก็ต้องเป็น “ผู้แก้” เอง
และจุดเปลี่ยนก็มาถึง หลังการมาถึงของ “สงคราม”
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศออสเตรเลียที่ได้รับความเสียหายไม่น้อยจากสงคราม ได้ตัดสินใจอ้าแขนเปิดรับชาวต่างชาติมากขึ้น เมื่อตระหนักถึงความไม่มั่นคงจากการที่มีประชากรน้อยเกินไป ขณะเดียวกันก็มีความต้องการแรงงานจำนวนมากเข้ามาร่วมโครงการฟื้นฟูประเทศ
การผ่อนคลายกฎหมายและมาตรการที่เป็นผลพวงจากนโยบาย White Australia จึงเริ่มต้น แต่ก็ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลาเกือบ 30 ปี ถึงจะยกเลิกสำเร็จ ในปี ค.ศ.1973 ในสมัย รัฐบาลกัฟ วิตแลม
ทั้งนี้ ในปี ค.ศ.1975 ยังมีการออก พ.ร.บ.การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ (Racial Discrimination Act) ที่กำหนดว่าการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่ใช้เชื้อชาติเป็นหลักเกณฑ์ให้ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการยกเลิกกฎหมายต่าง ๆ ที่กีดกันทางเชื้อชาติ รวมถึงมีการแสดงเจตจำนงทางการเมือง ในการยอมรับชาวต่างชาติให้เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ แต่ในเชื้อของ “การแบ่งแยกทางสี(ผิว)” ในสังคมออสซี่ก็ใช่จะหมดไปเสียทีเดียว
อย่างช่วงที่ผมอยู่ในออสเตรเลีย ก็มีข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เรื่องการเหยียดผิว อดัม กู้ดส์ นักออสเตรเลียนฟุตบอลชื่อดัง ที่สืบเชื้อสายมาจากชนพื้นเมือง ที่ในการแข่งขันนัดหนึ่ง ถูกแฟนทีมคู่แข่งเรียกว่า “ลิง(Ape)” ขณะที่พิธีกรชื่อดังรายหนึ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลงไปอีก ด้วยการเสนอให้นำเหตุการณ์เกิดขึ้น ไปโปรโมตละครเวทีเรื่องคิงคอง ที่กำลังเปิดแสดงอยู่ในเวลานั้น จนเจ้าตัวต้องออกมาขอโทษขอโพยในภายหลังกับตลกฝืด ๆ ดังกล่าว
ในพิพิธภัณฑ์ Immigration Museum and Exhibition ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางนครเมลเบิร์น รัฐวิกทอเรีย มีการจัดแสดงงานที่จะทำให้คนเข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันบน “ความแตกต่าง” ชนิด “ไม่แตกแยก” แต่ผลงานชิ้นที่ผมชอบมากก็คืองานที่ใช้ชื่อว่า "Who's next doors?" วีดีโอการจำลองสถานการณ์ในรถรางแห่งหนึ่ง ที่ชาวผิวขาวซึ่งเพิ่งขึ้นมาบนรถไม่ยอมนั่งลงข้างชาวผิวสี ทั้งๆ ที่มีเก้าอี้ว่างอยู่ พร้อมกับแสดงท่าทีซึ่งไม่เหมาะสม โดยมีหญิงเอเชียกับหญิงอาหรับจับตาดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ ๆ ทั้งนี้ เราสามารถเลือกไปดูสิ่งที่แต่ละคนคิดอยู่ในใจระหว่างช่วงเวลานั้น ที่แสดงให้เห็นถึง “ความไม่วางใจ” ระหว่างกัน แม้หน้าฉากทุกอย่างจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม...

(ผลงาน Who's next door? ที่จัดแสดงใน Immigration Museum and Exhibition ซึ่งจำลองสถานการณ์ ที่จะแสดงให้เห็นถึงปฎิกิริยา ของคนที่มีลักษณะภายนอกแตกต่างกัน เมื่อมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ...ซึ่งบางคนในนั้นอาจเป็นคุณ!)
แอนเน็ต เอลลิส อดีต ส.ส.แคนเบอร์ร่า ในฐานะบอร์ดคนหนึ่งของสถาบันออสเตรเลีย-ไทย กล่าวว่า แม้ฉากหน้าจะเหมือนว่าสังคมออสเตรเลียจะอยู่ด้วยการเคารพความแตกต่าง แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับแนวทางนี้ ดังนั้นแนวคิดเรื่อง “พหุวัฒนธรรม” หรือ Multiculturalism จึงต้องเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนในสังคมออสเตรเลียช่วยกันผลักดันต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแค่หน้าที่ของนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
เมื่อได้ไปพูดคุยบุคคลหลากหลายอาชีพ-สถานะในสังคมออสเตรเลีย ตั้งแต่นักการเมือง สื่อ นักการทูต ตำรวจ ภัณฑารักษ์ ฯลฯ ที่มีจุดร่วมเรื่องความพยายามในการสลาย “ความแตกต่างที่เกิดจากสี(ผิว)” ระหว่างคนในสังคมออสเตรเลีย ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนมองกลับมายังสังคมไทย
ก็ขนาด “สีผิว-เชื้อชาติ” ที่ถอดและเปลี่ยนไม่ได้ สังคมออสซี่ก็ยังพยายามที่จะอยู่ร่วมกันได้ โดยเคารพในความแตกต่าง แม้จะใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีก็ตาม
จะน่าเสียดายแค่ไหน หากเทียบกับ “สีเสื้อ-ความเชื่อ” ที่เราสามารถเปลี่ยนเมื่อไรก็ได้ แต่เราไม่ยอมหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันได้ โดยเคารพความแตกต่าง
ทั้ง ๆ ที่ความแตกต่างนั่นแหล่ะ คือหัวใจของสังคมประชาธิปไตย !!!

