เหมือน..ต่าง อุ้มฆ่า “สมชาย-เอกยุทธ” ในสายตา "อังคณา นีละไพจิตร"
“มันมีหลายเรื่องที่ฟังมาแล้ว มันยังตอบคำถามไม่ได้ ถ้ามาสรุปเพียงเท่านี้และยื่นไปในศาลก็เกรงว่า อาจไม่สามารถลงโทษคนกระทำผิดได้”

(อังคณา นีละไพจิตร - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก)
หลายคนไม่เชื่อคดีฆ่า “เอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจเคลื่อนไหวล้มระบอบทักษิณ จะมีมูลเหตุจากการชิงทรัพย์ 5 ล้านบาท ทั้งที่ตำรวจจับ ทีมผู้ต้องหาได้ 4 คน พร้อมทำแผนสารภาพแสดงให้ประชาชนหายสงสัย
แม้แต่ “อังคณา นีละไพจิตร” ภรรยาของ "สมชาย นีละไพจิตร" ทนายมุสลิมที่ถูกอุ้มฆ่าในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็ยังเชื่อว่าเบื้องหลังการฆ่านายเอกยุทธน่าจะมาจากเรื่องการเมือง เพราะมีข้อพิรุธมากมาย หลายปมก็ไม่กระจ่าง
พร้อมกับมีการเปรียบเทียบ “คดีฆ่าเอกยุทธ” กับ “คดีอุ้มทนายสมชาย” ว่ามีความเหมือนในความต่าง
ผ่านมา 9 ปี การหายตัวไปของทนายสมชายยังไร้เงาผู้สั่งการ มีเพียงนายตำรวจ 5 นายที่ตกเป็นจำเลย และอยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาข้อหา “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย”
นายตำรวจทั้งห้า ประกอบด้วย พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน. ช่วยราชการกองปราบปรามพ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีตพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 4 กองปราบปราม (กก.4 ป.) จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวนฯ แผนก 4 กองบังคับการ ตำรวจท่องเที่ยว ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กองกำกับการ 4 กองปราบปราม และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อดีต รองผู้กำกับการ 3 กองปราบปราม
น่าแปลก และดูซ่อนเงื่อน เมื่อหนึ่งในจำเลย “พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน กลายเป็นตำรวจที่เข้ามาคลี่ปมฆ่านายเอกยุทธด้วย ในฐานะผู้กำกับการกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี และเป็นทีมงานคนสำคัญของ "พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง" ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
*****
- ตอนแรกทราบข่าวคุณเอกยุทธ ถูกฆ่ารู้สึกยังไง
เนื่องจากมีพื้นฐานที่รู้มาก่อนว่า คุณเอกยุทธกับรัฐบาลนี้มีปัญหากันมาตลอด เราฟังข่าวตอนแรกก็คิดว่าน่าจะมีมูลเหตุทางการเมืองด้วย
- มองความเหมือนและความต่างของคดีอุ้มทนายสมชายกับคดีฆ่านายเอกยุทธอย่างไร
ในส่วนของความเหมือนมองว่า ประการแรกเป็นเรื่องของการมีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มันก็ต่างกันตรงที่ว่า คุณเอกยุทธอาจเป็นคนที่มีความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในลักษณะตัวบุคคลโดยตรง แต่ของคุณสมชายเป็นเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนจากการทำหน้าที่ของตำรวจ
อีกประการหนึ่ง คือมันมีมูลเหตุทางการเมืองด้วย เพราะคุณเอกยุทธก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างหนัก กรณีสมชายเช่นกันก็ได้ออกมารณรงค์ให้ยุติการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ และมีการล่ารายชื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ยกเลิกกฎอัยการศึก
อีกประการ เป็นเรื่องการจงใจลักพาตัว กรณีของคุณเอกยุทธต่างกันก็คือมีการพบศพคุณเอกยุทธในภายหลัง แต่ว่าของคุณสมชาย ไม่พบศพเลย
และที่เหมือนกันทั้งสองคดีคือ มีการตระเตรียมวางแผนอย่างดี แม้ว่าจะเอาตัวไปแบบฉุกละหุกทั้งคู่ การวางแผนอย่างดีคือ ของคุณเอกยุทธมีการกลับไปถอดเสริฟเวอร์ที่บ้าน ของคุณสมชายก็ไม่ต่างกัน เช่น หลังจากเอาตัวไปแล้ว จะเอาไปที่ไหนอย่างไร
- เชื่อหรือไม่กรณีการฆ่าคุณเอกยุทธมีปมการเมืองมากกว่าการชิงทรัพย์
ส่วนตัวไม่อยากจะเชื่อว่า เป็นเรื่องของการทำร้ายเพื่อประสงค์เอาเงินอย่างเดียว เนื่องจากคุณเอกยุทธเป็นคนมีฐานะดี และจริงๆ แล้ว น่าจะมีทักษะการต่อรอง และหากว่าผู้กระทำผิดหวังเงินอย่างเดียว คุณเอกยุทธน่าจะสามารถให้เงินมากกว่านี้ เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง แต่ว่าทำไมถึงนำไปสู่การฆ่าด้วย ตรงนี้ทำให้เกิดความสงสัย ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าเป็นเรื่องการชิงทรัพย์
- คำให้การของผู้ต้องหา “บอล” (สันติภาพ เพ็งด้วง) กับ “เบิ้ม” (สุทธิพงศ์ พิมพิสาร) ไม่มีน้ำหนักเพียงพอหรือ
ประสบการณ์ตัวเอง เวลาคดีถูกนำขึ้นไปสู่ศาล มันจะมีรายละเอียดเยอะมาก ถ้าหากว่าเราไม่ทำคดีให้รัดกุม และตอบคำถามในศาลได้ทุกคำถาม สุดท้ายเราก็ไม่สามารถเอาผิดกับคนทำผิดได้เลย กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ผู้ต้องหาก็ให้การขัดกันอยู่ แล้วเขาก็ตอบไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงจะต้องเอาเสริฟเวอร์ไปด้วย เอาไปทิ้งที่ไหนก็ยังหาไม่เจอ และถ้าหวังทรัพย์สินของคุณเอกยุทธ แล้วทรัพย์สินมีค่าที่ติดตัวไป ทำไมเขาถึงต้องเอาไปทิ้ง และเรื่องที่ไปหลบในรถอีก คุณเอกยุทธเป็นคนตัวใหญ่ ผู้ต้องหาสองคนก็ตัวเล็กกว่า ตรงนี้ตำรวจก็ต้องพยายามชี้แจงให้ได้ว่าทำไมผู้ต้องหาสองคนนั้นถึงได้จับกุมคุณเอกยุทธใส่กุญแจมือได้ จากข่าวก็ระบุว่าคุณเอกยุทธมีปืนอยู่แล้วทำไมเอาปืนทิ้งไว้ในรถ ซึ่งปกติวิสัยของคน เวลาขึ้นรถก็มักหาปืนก่อนว่า ปืนอยู่ที่ไหน แต่ถ้าหาไม่เจอ ก็ต้องเอะใจแล้วว่า เกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่นั่งรอจนกระทั่งคนขับรถเปิดกระจกออกมา แล้วเอาปืนมาขู่
มันมีหลายเรื่องที่ฟังมาแล้ว มันยังตอบคำถามไม่ได้ ถ้ามาสรุปเพียงเท่านี้และยื่นไปในศาลก็เกรงว่า อาจไม่สามารถลงโทษคนกระทำผิดได้
- หลักฐานยังไม่แน่นหนาพอที่จะเอาผิดผู้ต้องหาใช่ไหม
ใช่คะ... อย่างเช่น โทรศัพท์ เท่าที่ดูจากข่าว โทรศัพท์ของบอลกับเบิ้ม ผู้ต้องหาถามว่า มันเป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาอาจใช้โทรศัพท์มากกว่า 1 เครื่องก็ได้ที่เขาจะติดต่อคนอื่นมากกว่า 3-4 คนที่เป็นผู้ร่วมกระทำผิด ซึ่งมันก็เป็นไปได้ คดีสมชายก็ไม่ต่างกัน จำเลยคนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าหนึ่งเครื่อง แถมเป็นโทรศัพท์ที่จดทะเบียนในชื่อของคนอื่นด้วยซ้ำ พอมาเบิกความในศาล จำเลยก็อ้างว่าเบอร์โทรศัพท์อันหนึ่งไปปรากฏในโทรศัพท์ของตำรวจ และการจดทะเบียนไม่ได้จดชื่อเขา พอเราไปสอบถามก็ทราบว่า มีคนซื้อโทรศัพท์ให้ ฉะนั้น ถ้าตำรวจดูโทรศัพท์ที่เป็นชื่อของผู้ต้องหาแบบนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า มันอาจมีโทรศัพท์อื่นที่เขาใช้อยู่ก็ได้ คือบางทีมันต้องดูภาพกว้างด้วยว่า เขาติดต่อกันแค่ 4 คนจริงหรือไม่ มีคนที่นอกเหนือจากนี้หรือไม่
กรณีสมชายที่เหมือนกันก็คือ เหมือนกับถูกขีดกรอบไว้เลยว่าจะจับแค่ 5 คน และไม่ได้มีข้อมูลมากไปกว่านี้แล้วว่า 5 คนนี้ติดต่อกับใครในระดับสูงกว่านี้หรือไม่ พอไปถึงศาล หลายๆ เรื่องก็เลยตอบคำถามไม่ได้
อีกเรื่อง รถของคุณเอกยุทธติดจีพีเอสอยู่ ซึ่งที่จริงคนที่ได้เงินไปแล้ว เขาควรเอารถไปทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้เพื่อไม่ให้ตรวจจับได้ แต่นี่กลับไม่หลบออกที่อื่น เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน มากลับขับรถวนไปเวียนมาทั้งที่ติดจีพีเอส สุดท้ายก็ถูกตำรวจจับได้ง่ายๆ
คำถามง่ายๆ เมื่อญาติไปแจ้งความว่า คุณเอกยุทธหาย ตำรวจก็ต้องดูก่อนว่า แล้วรถของคุณเอกยุทธหายไปอยู่ที่ไหน ซึ่งสามารถที่รู้ได้ทันทีจากการดูจีพีเอส แต่ทำไมผู้ต้องหาถึงไม่มีการเปลี่ยนรถ กลับใช้รถคันนี้คันเดียวตลอด จนกระทั่งขับวนไปวนมา จนยางแตก และถูกจับ ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกมาก ข้อมูลแบบนี้ถ้าเกิดนำไปขึ้นศาล พอซักจริงๆ ก็อาจหลุดได้
เท่าที่ดูจากประสบการณ์ตัวเองในคดีสมชาย ยังเห็นว่ามันมีช่องโหว่เยอะ มีหลายเรื่องที่ตอบคำถามไม่เคลียร์ และถ้าไปขึ้นศาลแล้วตอบคำถามไม่ได้ ศาลก็จะยกประโยชน์ความสงสัยให้กับจำเลย
- ปมการเมืองมีมูลเหตุจูงใจแค่ไหน ข้อมูลจากสื่อก็บอกว่า คุณเอกยุทธมีคลิปเด็ดนายกฯยิ่งลักษณ์ กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ และที่คุณเอกยุทธโพสต์ เรื่องมัลดีฟส์น้ำกระจาย เชื่อตามนั้นหรือไม่
ข้อมูลที่คุณเอกยุทธพยายามสื่อสาร เหมือนกับคุณเอกยุทธไม่ได้บอกตรงๆ เพราะกลัวถูกฟ้องร้อง แต่ว่า ตรงนี้ถ้าหากว่า เป็นเรื่องของการดิสเครดิตผู้นำประเทศ มันก็น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในตัวผู้นำ แต่ถ้าถามว่า แค่นี้เพียงพอและมีน้ำหนักไหม ที่จะถึงกับต้องอุ้มฆ่ากัน มันก็คงตอบไม่ได้ มันก็แล้วแต่ความรู้สึกของผู้ที่ถูกดิสเครดิตนั่นแหละ
ว่าไปแล้ว ในช่วงรัฐบาลคุณทักษิณ เรื่องแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ฉะนั้นก็บอกไม่ได้ว่า มันจะมีวิธีคิดแบบที่เกิดขึ้นเมื่อ 8-9 ปีที่แล้วหรือไม่ แต่ถ้าพูดไปแล้ว คุณสมชายกับคุณทักษิณ ไม่เคยโกรธแค้นกันเลยนะ คุณสมชายกับตำรวจก็ไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ เลย แต่ทำไมมันถึงนำมาถึงการอุ้มฆ่า อาจเป็นเพราะตำรวจกลัวการร้องเรียนที่ไปซ้อมทรมานผู้ต้องหาก็ได้
- ถ้ากรณีคุณเอกยุทธ ไม่ชัดว่าเป็นการชิงทรัพย์ เป็นไปได้หรือไม่ที่อาจมีกลุ่มผู้มีอำนาจลับๆ ที่คอยจัดการแทนนายให้
ส่วนตัวเชื่อมั่นว่า มีคนโกรธแค้นแทนนาย จัดการแทนได้ วิธีคิดแบบนี้จึงยังมีอยู่ ฉะนั้น จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ากรณีของคุณสมชายหรือคุณเอกยุทธ มันเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจถ้าต้องการที่จะเคลียร์ตัวเองว่าไม่มีส่วนร่วม เจ้าหน้าที่ต้องใจกว้างในการเปิดประเด็นสอบสวนให้มากขึ้น คือรับฟังความคิดเห็นหรือคำถามจากสังคมด้วย คืออย่าไปมองว่า ที่คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) หมอพรทิพย์ (โรจนสุนันท์) ออกมาพูดแสดงข้อกังขา แล้วกลับมาทำลักษณะประชดประชัน เช่น สั่งให้ทั้งสองคนมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ทั้งที่จริงคนเหล่านี้ไม่มีส่วนรู้เห็น เพียงแต่เขาตั้งคำถาม เพื่อจะได้เอามาคิด จะได้ปิดช่องโหว่เวลาไปถึงศาล จะได้ไม่ต้องมีข้อสงสัยอีก แต่ถ้าหากใช้วิธีประชดชันแบบนี้ มันไม่ค่อยสร้างสรรค์ แล้วมันจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- ที่บอกว่า อยากให้ตำรวจ เปิดประเด็นการสอบสวนให้มากกว่านี้ คืออะไร
อย่างกรณีจับ “บอล” ได้ แล้วเอาลงไปดูศพที่พัทลุง เวลาที่ดูศพ บริเวณหลุมศพก็ไม่ได้ติดแผงกั้นไม่ให้คนอื่นเข้า ใครต่อใครก็ไปนั่งแล้วขย้ำดินกันเต็มหมดเลย แล้วหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เราก็ต้องดูว่า ดินโคลนที่ฝังศพตรงนั้น กับดินโคลนที่ติดรองเท้า “บอล” เป็นดินที่มาจากที่เดียวกันหรือไม่ มีหญ้าประเภทเดียวกันติดมาหรือไม่ มันสามารถเป็นหลักฐานที่ส่งศาลได้ หรือว่ารอยเท้าของคนที่ย่ำเป็นรอยเท้ารองเท้าอะไร ซึ่งตรงนี้มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย สมมติมีการซักพยานในศาล แล้วมีการถามเรื่องสถานที่ฝังศพ ก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่เข้าไปเอาศพมาฝังจริง คือส่วนตัวเห็นคนเข้าไปย่ำจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็ดีที่เป็นจิตอาสา แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ตำรวจก็ควรมีความเป็นมืออาชีพในการที่จะรักษาสถานที่เกิดเหตุ
- ตำรวจจำเป็นต้องเปิดประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองมาสอบสวนหรือไม่
ที่จริงตำรวจควรเปิดประเด็นให้กว้างไว้ ซึ่งมันก็ไม่เสียหาย เช่น ตั้งไว้เลยว่า ปมการเสียชีวิตเป็นเพราะความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ คุณเอกยุทธขัดแย้งกับใครบ้าง สอบไปเรื่อย ๆ ว่าก่อนที่คุณเอกยุทธจะถูกอุ้ม คุณเอกยุทธโพสต์ข้อความอะไร ทำอะไร หรือว่าโทรศัพท์ติดต่อใคร ใครบ้างไม่พอใจกับการกระทำของคุณเอกยุทธบ้าง การตั้งประเด็นให้กว้างมันไม่ได้เสียหายอะไรกว่าที่จะตั้งแค่ข้อหาปล้นทรัพย์แค่นี้
- จากประสบการณ์ของคุณอังคณา การหลุดคดีในชั้นศาล เกิดขึ้นได้จากกรณีใดบ้าง
พยานให้การขัดแย้งกัน พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่สามารถทำให้ศาลเชื่อได้ บางทีพยานกลับคำให้การในศาล เขาอาจจะบอกว่า ที่เขารับสารภาพเพราะกลัว หรือเบี่ยงเบนเป็นเรื่องอื่นไปเลย เขาอาจรับเพียงว่า เอาเงินไป แต่ไม่ได้ฆ่าก็ได้ หรืออาจจะบอกว่า เขาขับรถวนไปวนมา แต่ตั้งใจจะมามอบตัว คือเขาสามารถกลับคำหรือเปลี่ยนแปลงคำให้การได้ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องรอบคอบ และในศาล แค่ทนายซักให้ศาลเกิดความสงสัย ศาลก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย เพราะหลักการของศาลก็คือ ปล่อยคนชั่ว 10 คน ดีกว่าลงโทษคนดีเพียงคนเดียว
- คาดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังอุ้มคุณเอกยุทธเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดระดับไหน
คงเป็นคนที่มีอำนาจที่จะสั่งการได้ และสามารถที่จะทำให้พยานหรือจำเลยเกิดความหวาดกลัว คือบอกไม่ได้ว่าจะสูงแค่ไหน อันนี้คงขึ้นกับมูลเหตุที่แท้จริงว่า ระดับไหนที่เป็นระดับสั่งการ แต่คงเป็นคนที่มีอำนาจ ไม่งั้น คงทำงานแบบนี้ลำบาก เพราะคุณเอกยุทธ มีคนรู้จักเยอะ และนักเลงพอสมควร มีพรรคพวกเยอะ
- ดูเหมือนตำรวจจะรีบปิดคดี เพราะมีคนสารภาพครบเรียบร้อย
เรื่องนี้น่าเป็นห่วงจากประสบการณ์ตัวเอง ถ้าจำกันได้คดีสมชาย เมื่อ 9 ปี ที่แล้ว คุณทักษิณตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดใหญ่มาก มีอธิบดีดีเอสไอสมัยนั้นเป็นประธาน สอบไป หาหลักฐานจนตำรวจมั่นใจว่าสามารถเอาผิดได้แน่ แต่พอไปถึงศาล ทุกอย่างมันตรงกันข้าม พยานหลักฐานที่ส่งศาล หลักฐานการใช้โทรศัพท์เป็นแค่สำเนา และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงที่เอาข้อมูลมา ก็ไม่ได้เซ็นรับรองสำเนาด้วย เลยทำให้เป็นหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ พยานหลายคน บางคนกลับคำให้การ แล้วหลักฐานบางชิ้น ข้อมูลบางอย่าง พยานแวดล้อมที่ให้การเป็นประโยชน์ ตำรวจกลับไม่นำพยานเหล่านี้มาสอบปากคำ และไม่เรียกมาเป็นพยานในชั้นศาล เป็นต้น มันมีหลายๆ เรื่องที่ทำให้สุดท้ายแล้ว ศาลลงโทษตำรวจคนเดียว เพราะศาลเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือพอที่จะไปเอาผิดได้ ตรงนี้มันเป็นประสบการณ์ที่ดี
- มีข้อสังเกตอย่างไรกับหนึ่งในทีมตำรวจที่คลี่คลายคดีคุณเอกยุทธ ตกเป็นจำเลยคดีอุ้มคุณสมชาย
ถ้ามองดู จะเห็นว่าตำรวจชุดนี้ คือชุดเดียวกัน และเป็นชุดที่ลงไปทำงานทางใต้ด้วยในช่วงที่มีเรื่องการซ้อมทรมานอุ้มฆ่าต่าง ๆ นานา สิ่งที่อยากเตือนสังคมไทย ก็คือ เราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่า เจ้าหน้าที่คนไหนที่มีความคิดว่า ต้องใช้วิธีการนี้กับคนที่เห็นต่าง ฉะนั้น สังคมก็ควรที่จะรอบคอบ ระมัดระวังในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ต้องใจกว้าง ให้มีการถกเถียงกัน
ในส่วนตำรวจชุดนี้ แม้จะถูกร้องเรียนมาเยอะ ก็ไม่เคยมีใครซักคนต้องรับผิดอะไร เพราะสุดท้ายไม่มีหลักฐาน ที่สำคัญ ถ้าสมมติตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องจริง และตำรวจเป็นผู้ทำสำนวนเอง มันก็คงยากที่จะเอาผิด เพราะโดยมากเขาก็จะทำพยานหลักฐานให้อ่อน
- คดีอุ้มทนายสมชาย ผ่านมา 9 ปี ไปถึงไหนแล้ว
คดีนี้ มีตำรวจ 5 นายที่ถูกจับ ศาลชั้นต้นลงโทษ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก แต่อีก 4 คน ศาลให้ความเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พอมาถึงศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้องทั้ง 5 คน ตอนนี้พี่เองก็ยื่นฎีกาตำรวจทั้ง 5 คน แล้วศาลฎีกา ก็ได้รับฎีกาไว้คนนึงคือ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ยังคงเป็นจำเลยอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
- ส่วนตัวเชื่อว่า ทีมอุ้มทนายสมชาย มีมากน้อยแค่ไหน
มันมีมากกว่า 5 คนแน่ แล้วเราเห็นเลยว่า หลักฐานการใช้โทรศัพท์ มันมีก็รอยตัดแปะ และมีอะไรอีกเยอะมาก เพียงแต่ว่า มันถูกขีดไว้เลยว่า เอาแค่ 5 คน และไม่สาวไปถึงคนที่ติดต่อระดับสูงกว่านี้ว่า จำเลยที่ห้า ติดต่อใคร เวลาเท่าไร ไม่มีเลย พอขึ้นไปถึงศาล เราจะรู้เลยว่า โอ้โห...เราพลาดมาแต่ต้น เนื่องจากเราไม่ได้มีโอกาสได้ติดตามเลย แต่ก็ต้องถือว่า วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใจกว้างมากที่ให้ทนายเข้าไปมีโอกาสร่วมซักถามในคดีคุณเอกยุทธ สมัยก่อนไม่มีเลย นิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจบอกว่ามีพยานหลักฐานมากมายเลย แต่พอเข้าจริงพอไปถึงศาล ผอ.นิติวิทยาศาสตร์ และตำรวจไปให้การในศาลว่า ไม่พบอะไรเลยในรถคุณสมชาย ซึ่งมันก็เลยไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งที่ตอนจะนำคดีส่งศาล ตำรวจให้ความมั่นใจว่า มีหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์และมั่นใจว่า จะเอาผิดได้
- คดีอุ้มทนายสมชาย คนที่อยู่เบื้องหลัง มีอำนาจสูงสุดแค่ไหน
เรื่องนี้ พี่เชื่อมั่นว่าคุณทักษิณรู้ แต่คุณทักษิณ อาจจะไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายคุณสมชาย แต่คุณทักษิณน่าจะรู้เรื่องคดีคุณสมชายอย่างดี อย่างน้อยคุณทักษิณ ก็ต้องรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ แต่คุณทักษิณอาจจะไม่มีส่วนที่ทำให้คุณสมชายเสียชีวิต แต่อาจเป็นการกระทำที่ทำกันเอง
- ตอนที่จับตัวจำเลย นายตำรวจทั้งห้าใช้เวลานานยาวนานแค่ไหน
โอ้ย...เร็วมากเลยค่ะ ใช้เวลาน่าจะประมาณ 3-4 เดือนก็จับได้แล้ว และดูเหมือนเขาจะรู้ ๆ กันด้วยว่ากลุ่มนี้แหละ เร็วมากค่ะ เพราะตอนนั้น มันมีแรงกดดันเยอะ ทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลทำงานเร็วมาก เร็วผิดปกติ 2 เดือนเองส่งฟ้อง แต่พอไปถึงศาล กลับไม่มีอะไรเลย
- ทุกวันนี้ ผ่านไป 9 ปี มีบทเรียนอะไรเกิดขึ้นกับเรื่องอุ้มฆ่า
คดีฆ่าคุณสมชายอยู่กับดีเอสไอ และคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอก็ไม่เคยสนใจทั้งที่รับคดีนี้มาตั้ง 8 ปีแล้ว คดีที่อยู่ในศาลฎีกาขณะนี้ เป็นคดีกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่คดีฆ่าอยู่กับดีเอสไอ แล้วคุณธาริตไม่เคยสนใจคดีนี้เลย ต่างจากคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุฯ คุณธาริตจะเป็นจะตายให้ได้ ทำสุดชีวิตเลย ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย ขณะที่คุณสมชายเป็นคนไทยแท้ ๆ คุณธาริตไม่สนใจเลย เราเคยถามถึงไหนแล้ว เขาก็บอกว่าทำอยู่ คือมันเห็นเลยว่า เขาไม่เต็มใจที่จะทำคดี
- บทเรียนการอุ้มฆ่า
ความจริงสังคมไทย เรื่องอุ้มฆ่ามันมีมานาน ตั้งแต่สมัย ส.ส.อีสานถูกอุ้มฆ่า ยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนาท์ ทนง โพธิ์อ่าน แต่เนื่องจากเหยื่อไม่ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องจริงจัง อีกอย่าง สังคมก็ไม่ได้ติดตามต่อเนื่อง มันก็เลยทำให้สังคมค่อยๆ ลืมไป เหยื่อเองบางทีก็เหนื่อย ฉะนั้น ต่อไปนี้เราน่าจะตื่นตัวในเรื่องนี้ แล้วก็หามาตรการที่จะคุ้มครองว่า ไม่ว่าใครก็ตามจะมาทำอย่างนี้อีกไม่ได้แล้ว
- ในแต่ละปี ช่วงครบรอบการหายตัวไปของทนายสมชาย ได้ทำอะไรบ้าง
ตอนนี้คดีการหายตัวของสมชายอยู่กับสหประชาชาติด้วย เราก็ติดตามอยู่ กับคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ และส่วนตัวก็รณรงค์ให้ประเทศไทยให้สัตยาบรรณอนุสัญญาว่าด้วยการบังคับสูญหายด้วย ซึ่งเชื่อว่า จะเป็นผลดีในการที่จะให้ประเทศไทยแก้กฎหมายคุ้มครองคนหาย
- สุดท้ายอยากฝากอะไร
ตำรวจควรเอาคดีสมชายมาดูเป็นตัวอย่าง เพราะมีจุดบกพร่องในการทำสำนวนเยอะมาก แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะแก้ไขไม่ให้คดีเอกยุทธ มีช่องโหว่ได้อย่างไร ทำไมพยานจะไม่กลับคำ ทำไมหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์จะสามารถมัดตัวจำเลยได้จริง
อีกอย่าง คดีเอกยุทธอาจจะดีตรงที่ว่าจำเลยไม่ได้เป็นตำรวจ ฉะนั้น ตำรวจก็เอามาซักถาม ทำแผนอะไรได้ แต่คดีสมชาย จำเลยเป็นตำรวจ ฉะนั้นเวลาจับได้ ทุกคนบอกเลยว่า ไม่ให้การ แต่จะให้การในชั้นศาลอย่างเดียว ปฏิเสธการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ปฏิเสธการถอนผม เจาะเลือด หรือตรวจดีเอ็นเอ ฉะนั้น ทำอย่างไรถ้าสมมติว่า มีผู้เกี่ยวข้องเป็นตำรวจ จะมีบรรทัดฐานอย่างไรที่จะคุ้มครองเท่ากัน เช่น คนธรรมดาบอกต้องให้การ ส่วนตำรวจบอกว่า ไม่ให้การ ตรงนี้เราต้องมีการปฏิรูปในเรื่องนี้ต่อไป
ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ต้องใจกว้าง และเปิดโอกาสให้สังคมได้ถกเถียงในประเด็นต่างๆ มันก็น่าที่จะทำให้สังคมเชื่อได้ แต่ตอนนี้หลายคำถามก็ยังตอบไม่ได้เลย ขับรถจีพีเอสรอให้จับแบบผิดวิสัย เด็กอายุ 23 ฆ่าคน ได้ เวลามาแถลงข่าวก็เหมือนกับไม่สะทกสะท้านเลย และแถมดูเหมือนจะคุ้นเคยกับตำรวจ ไม่ได้หวาดกลัวตำรวจเลย
