ความสำเร็จ กองทุนสัมมาชีพ มูลนิธิเอสซีจี...ช่วย 4 จังหวัดชายแดนใต้
มูลนิธิเอสซีจีได้นำปรัชญาการดำเนินงานของเอสซีจี ในเรื่อง ‘ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม’ และ ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของคน’ มาเป็นแนวทางหลักในการดำเนินงานเพื่อสังคมอย่างสร้างสรรค์ ด้วยเชื่อว่าชุมชน สังคมและประเทศชาติจะเข้มแข็งและยั่งยืนได้ต้องเริ่มจากคนก่อน ทั้งนี้ไม่เพียงเป็นคนเก่งเท่านั้นหากแต่ต้องเป็นคนดีด้วย โครงการและกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิเอสซีจีจึงมุ่งเน้นการพัฒนา ‘คน’ ตลอดจนการปลูกฝังจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมให้กับเด็กและเยาวชน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจในการทำงานภาคสังคมในรูปแบบต่างๆ
แม้เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ด้วยสองมือแต่เราสามารถเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ร่วมกันขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความดีงามได้ ในประเทศของเรายังมีอีกหลายพื้นที่ หลากหลายผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งในทางตรงและทางอ้อม หลายจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็น สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มูลนิธิฯ เข้าไปสนับสนุน ให้กำลังใจบุคคลที่ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยง เต็มไปด้วยความยากลำบากในการทำงาน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นชาวบ้าน เป็นผู้นำชุมชนตัวเล็กๆ เช่น กลุ่มอาสาสมัครช่วยเหลือแพทย์ในโรงพยาบาล อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่พัฒนาองค์กรเอกชน เหล่านี้ล้วนเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องมีความเสียสละอย่างยิ่ง
มูลนิธิเอสซีจีจึงจัดทำโครงการเพื่อเป็นการสนับสนุนและเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้คนเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น โครงการทุนการศึกษาเกื้อหนุนครอบครัวที่ทำงานเพื่อสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้, โครงการกองทุนสัมมาชีพซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพส่วนตัวรายย่อย
ขณะเดียวกันก็มีการจัดอบรมเสริมทักษะอาชีพ ทักษะการบริหารจัดการ เพื่อเสริมศักยภาพผู้บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะควบคู่ไปด้วย เพราะการทำงานเพื่อสังคมเป็นงานที่ต้องอุทิศแรงกายแรงใจ และบ่อยครั้งยังหมายรวมถึงกำลังทรัพย์
จากการคลุกคลีกับผู้บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะมาหลายปี มูลนิธิเอสซีจีตระหนักดีว่าการที่คนเหล่านี้จะต้องเสียสละเวลาหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาทำงานเพื่อสังคม ส่งผลให้สมาชิกคนอื่นในครอบครัวต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรับภาระหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้หลายครอบครัวเกิดความไม่เข้าใจกัน จนบางครั้งงานทางสังคมอาจทำให้ความอบอุ่นในครอบครัวลดน้อยลงไปบ้าง กระทั่งอาจมีบางคนต้องเลิกทำงานสาธารณะประโยชน์ไป
เหตุนี้เอง นับแต่ปี พ.ศ.2551 มูลนิธิฯ เริ่มดำเนินโครงการมอบทุนการศึกษา ภายใต้โครงการ SCG Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี แก่บุตรของผู้บำเพ็ญประโยชน์ฯ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อให้คนทำงานมีหลักประกันทางอนาคตให้กับบุตรหลาน ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษา โดยทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าและเป็นทุนต่อเนื่องจนจบปริญญาตรีเพื่อตอบแทนคุณความงามความดีและเติมเต็มกำลังใจในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ รับทราบและซึมซับเกี่ยวกับความเสียสละของพ่อแม่ ผู้ปกครอง มูลนิธิฯ จึงจัดให้มี ‘ค่ายครอบครัว’ ซึ่งในค่ายนี้นอกจากเด็กจะได้ทราบว่าพ่อแม่ของพวกเขาทำอะไรให้สังคม การมอบทุนการศึกษาในค่ายนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองจะเป็นผู้มอบทุนให้บุตรหลานเอง เพื่อย้ำเตือนให้เด็กๆ ทุกคนได้ทราบว่าทุนการศึกษาที่พวกเขาได้รับนั้น ไม่เหมือนทุนอื่นใด พวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง แต่เขาได้รับทุนนี้เพราะพ่อแม่เขาเป็นคนดี ทำคุณความดีให้สังคม ค่ายครอบครัวจึงมีความพิเศษที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น ถือเป็นกิจกรรมที่ผู้บำเพ็ญประโยชน์ฯ ตั้งตารอคอยว่าจะต้องเข้าร่วมให้ได้
ปัจจุบันมูลนิธิเอสซีจีได้มอบทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรีให้กับบุตรหลานผู้บำเพ็ญประโยชน์ฯ ทั่วประเทศไปแล้วกว่า 500 ทุน โดยกว่า 70 ทุน เป็นทุนที่มอบแก่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
นอกเหนือจากทุนการศึกษาเพื่อบุตรผู้บำเพ็ญประโยชน์ฯ มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จัดทำโครงการ “กองทุนเพื่อเกื้อหนุนครอบครัวที่ทำงานเพื่อสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนเงินทุนสำหรับประกอบอาชีพส่วนตัวรายย่อย เพื่อประคับประคองให้พวกเขาสามารถทำงานทางสังคมได้ต่อไปและทุ่มเทกับงานได้มากขึ้น โดยคณะกรรมการเครือข่ายฯ ที่เป็นตัวแทนจากองค์กรเอกชนหรือเครือข่ายภาคสังคมของแต่ละจังหวัดจะร่วมกันคัดเลือกผู้ที่มีประวัติการทำงานทางสังคมด้วยความอุทิศ เสียสละตนมายาวนานจนเป็นที่ยอมรับนับถือของชุมชนให้ได้รับเงินช่วยเหลือซึ่งไม่มีดอกเบี้ย มีแต่พันธะสัญญาที่จะนำเงินมาคืนกองทุนตามที่ตกลงโดยเงินที่คืนกลับมานั้นจะถูกหมุนเวียนไปช่วยครอบครัวอื่นๆ ต่อไป
นับแต่ปี พ.ศ. 2551 มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดตั้งโครงการนำร่องกองทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้บำเพ็ญประโยชน์ที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 30 รายเป็นเงิน 900,000 บาท
ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 มูลนิธิฯ สนับสนุนเพิ่มเติมอีก 8 ราย เป็นเงิน 240,000 บาท การใช้คืนทุนได้เริ่มขึ้นในปี 2552 ได้นำเงินหมุนเวียนที่ได้รับกลับมาใช้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้รวม 74 กองทุน มีสมาชิกคืนเงินเข้ากองทุนครบจำนวนรวม 17 ราย นับได้ว่าสถานะกองทุนมีการบริหารจัดการที่ดีและผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและยังคงการทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนสัมมาชีพเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด มูลนิธิเอสซีจีจึงส่งเสริมการพัฒนาทักษะอาชีพ ทักษะการบริหารจัดการและจัดอบรมเสริมศักยภาพให้กับผู้บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะไปพร้อมกัน เช่น การให้ความรู้เรื่องการจัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อให้ผู้บำเพ็ญประโยชน์ฯ สามารถบริหารจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบ เหมาะสมกับสถานะทางเศรษฐกิจของตน การเปิดโอกาสให้ผู้ได้รับทุนได้พูดคุยปรึกษาหารือร่วมกันเกี่ยวกับเงื่อนไข กฎเกณฑ์ วิธีการชำระเงินคืนที่เหมาะกับลักษณะเฉพาะของแต่ละราย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการฝึกฝน เรียนรู้ถึงการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ รวมไปถึงการจัดอบรมอาชีพต่างๆ และการสนับสนุนงบประมาณแก่คณะทำงานกองทุนในการติดตาม เยี่ยมเยียนให้กำลังใจผู้บำเพ็ญประโยชน์
จากการติดตามผลของกองทุนสัมมาชีพ พบว่า สมาชิกนำเงินไปลงทุนประกอบกิจการส่วนตัว ตามความถนัดแตกต่างกันไป เช่น เปิดร้านขายข้าวแกง การทำหมวกกะปีเยาะและผ้าคลุมผม การทำประมงพื้นบ้าน การเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เกือบทั้งหมดมีการบริหารจัดการกองทุนของตนอย่างเป็นระบบ โดยร้อยละ 80 สามารถใช้เงินคืนกองทุนกลับมาตามระยะเวลาที่ตกลง ส่วนรายที่ยังไม่ได้ใช้เงินคืนก็ได้ให้คำชี้แจง อธิบายถึงสาเหตุอย่างเหมาะสมทำสามารถนำเงินไปหมุนให้ยังครอบครัวอื่นๆ
“การให้ความช่วยเหลือของมูลนิธิเอสซีจี เป็นการให้แบบเคารพผู้รับและผู้รับก็รับอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่การให้เปล่าที่ไม่ยั่งยืน ประโยชน์ของกองทุนนี้คือการช่วยประคับประคองให้พวกเขาสามารถทำงานทางสังคมได้ต่อไปและทุ่มเทให้กับงานได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการฝึกทักษะในการบริหารจัดการ สร้างวินัยในการคืนเงิน เนื่องจากทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของเงิน ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือไปก่อนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพื่อคนที่รออยู่ข้างหลัง” สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจีกล่าว
ความสำเร็จในการดำเนินโครงการในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้วันนี้ ได้กลายเป็นต้นแบบในการเสริมขวัญ สร้างอาชีพแก่ผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมในพื้นที่อื่นๆต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เครือข่ายอินแปง จ. สกลนคร และ สถาบันชุมชนชาวนา จ.มหาสารคาม หรือ ในภาคเหนือ ที่ศูนย์การเรียนรู้โจโก้ จ.น่าน
ผลสืบเนื่องตามมาที่น่าชื่นใจอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพต่างๆ เช่นการจัดอบรมร่วมกับอาศรมพลังงานให้กับผู้บำเพ็ญประโยชน์จากหลากหลายพื้นที่พร้อมกันนั้น ทำให้เกิดเครือข่ายการทำงานร่วมกัน โดยผู้บำเพ็ญประโยชน์ในแต่ละพื้นที่ได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ท้องถิ่นของตัวเองกับชาวบ้านพื้นถิ่นที่ในภูมิภาคอื่นๆ เป็นการต่อยอดภูมิปัญญาพื้นถิ่นได้อีกทางหนึ่ง
ด้วยเนื้อที่ห้าแสนกว่าตารางกิโลเมตรของประเทศไทย ยังมีคนดีที่มีจิตอาสาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มูลนิธิเอสซีจีดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคน พัฒนาชุมชน และเสริมขวัญกำลังใจคนดีๆ ให้ได้มีเรี่ยวแรงพละกำลังทำสังคมให้มีคุณค่าต่อไป เมื่อคนมีคุณภาพ มีจิตสำนึกรับผิดชอบสังคม สังคมก็จะเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะพัฒนาไปอย่างยั่งยืน
