จับเข่าคุย ‘ผู้บริหารบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาฯ’ กับปัญหา “รับจ้างทำดุษฎีนิพนธ์”
“เป็นค่านิยมของคนบางคนที่อยากได้ปริญญาแต่ไม่อยากกระทำ คือมีเงินแต่อยากได้ปริญญา ซึ่งตรงนี้มันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นเราต้องแก้ที่จิตสำนึก การที่จะไปแก้ตอนสุดท้ายคือถอนใบปริญญามันไม่ควรจะเกิดขึ้น ต้องสร้างความตระหนักว่าถ้าทำเรื่องแบบนี้จะมีผลลัพท์ตามมา … ท้ายสุดเชื่อว่ามาตรการด้านกฎหมาย และมาตรการแต่ละมหาวิทยาลัย จะช่วยลดและทำให้ปัญหานี้หมดไปได้”

ปัญหารับจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนานในระดับอุดมศึกษาของไทย มีนิสิต/นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเรียนให้จบโดยไม่จำเป็นต้องลงแรง เพียงแค่มีเงินทุนเท่านั้น ขณะเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา พ.ศ. … ซึ่งมีบทลงโทษในส่วนนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการผลักดันเท่านั้น ทำให้ยังมีหลายเว็บไซต์เปิดให้บริการรับจ้างทำอยู่อย่างแพร่หลาย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดซึ่งปรากฎเป็นข่าวอื้อฉาวไปเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับกรณีมีเว็บไซต์แห่งหนึ่งรับจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ โดยสนนราคาอยู่แค่ 1.5 แสนบาท และอ้างว่ามีทีมงานระดับมืออาชีพหลายราย พร้อมกับยืนยันว่า “ไม่มีทางถูกจับได้อย่างแน่นอน”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ติดต่อกับ รศ.ดร.อมร เพชรสม คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย, ผศ.ดร.พัชณิตา ธรรมยงค์กิจ รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย และ รศ.ดร.ธรรมนูญ หนูจักร รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้เล่าถึงปัญหาการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในจุฬาฯเอง รวมไปถึงมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ว่าจะมีมาตรการป้องกันปัญหานี้อย่างไรให้รวดเร็ว ชัดเจน และตรงจุดเสียที
การรับจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ ในประเทศไทยเท่าที่ทราบ เป็นอย่างไรบ้าง
- รศ.ดร.อมร : จากประสบการณ์โดยตรงคือตอนไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็พบเห็นป้ายประกาศรับจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ แปะอยู่ตามเสาไฟฟ้าใกล้กับมหาวิทยาลัย แต่จะมีการจ้างมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย และสาขาวิชาที่นิสิต/นักศึกษาเรียนอยู่
มาตรการของจุฬาฯ ในการป้องกันการคัดลอกหรือจ้างคนอื่นทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์
- รศ.ดร.อมร : มีมาตรการที่เข้มงวดอยู่ 3 มาตรการ คือ 1) มาตรการสร้างจิตสำนึก คือจะมีการแจกเอกสารและอบรมนิสิตเกี่ยวกับ Plagiarism (การคัดลอกผลงาน) และเปิดรายวิชาจริยธรรมการวิจัยเป็นหลักสูตรออนไลน์ ซึ่งนิสิตทุกคนต้องลงทะเบียนเรียน รวมไปถึงมีการอบรมอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ด้วย
2) มาตรการป้องปราม คือกำหนดให้นิสิตเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยโปรแกรม CU e-Thesis โดยโปรแกรมดังกล่าวจะให้นิสิตเขียนข้อมูลเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ลงไป และอาจารย์ที่ปรึกษาสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ซึ่งหากพบความผิดปกติก็จะทราบได้ทันที รวมไปถึงมีการกำหนดให้นิสิตส่งแบบรายงานความก้าวหน้าและแผนการทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ทุกภาคการศึกษา
3) มาตรการติดตาม/ตรวจสอบ จะใช้โปรแกรม Turnitin ซึ่งเป็นโปรแกรมรวมฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ภาคภาษาอังกฤษไว้ หากมีการคัดลอกผลงานคนอื่นโปรแกรมจะตรวจพบได้ในทันที และในเดือนกรกฎาคมนี้ จะเปิดตัวโปรแกรมใหม่ชื่อว่า อักขราวิสุทธิ์ เป็นโปรแกรมรวมฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ที่จะสามารถตรวจสอบได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอีกด้วย
โปรแกรม อักขราวิสุทธิ์ เริ่มพัฒนาตั้งแต่เมื่อไหร่
- รศ.ดร.อมร : เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นมีกระแสการคัดลอกผลงานวิชาการ ทางจุฬาฯจึงเริ่มใช้โปรแกรม Turnitin ซึ่งเป็นโปรแกรมพัฒนาจากต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัดคือตรวจได้แค่ภาษาอังกฤษ พอมาใช้ตรวจภาษาไทยกลับมีผลไม่น่าพึงพอใจ ดังนั้นจุฬาฯจึงพัฒนาโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ โดยภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะอักษรศาสตร์ ใช้งบประมาณลงทุนถึงหลักล้านบาท เพื่อไว้ตรวจสอบภาษาไทยให้แม่นยำขึ้น และยังตรวจสอบภาษาอังกฤษได้อีกด้วย ทั้งนี้ได้นำมาทดลองใช้ในวงจำกัดเมื่อภาคเรียนที่แล้ว
อย่างไรก็ตามโปรแกรมนี้พัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว และพร้อมเปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นไป และจะเชื้อเชิญให้มหาวิทยาลัยอื่นมาร่วมใช้โปรแกรมดังกล่าวด้วย โดยเบื้องต้นจะไปคุยกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อมาเชื่อมข้อมูลให้สามารถตรวจสอบได้ทุกมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจะดำเนินการเซ็นสัญญาบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันอีกด้วย
- รศ.ดร.ธรรมนูญ : ต่อไปนี้รายงานหรือสารนิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาตรีทั้งหมด ก็จะถูกตรวจสอบผ่านโปรแกรมดังกล่าวอีกด้วย
เคยมีกรณีจุฬาฯจับได้ว่ามีนิสิตไปลอกส่วนใดส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์หรือไม่
- รศ.ดร.อมร : เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น และปรากฎเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์มาแล้ว โดยบทลงโทษคือโดนถอดถอนปริญญาบัตรออกไป แต่นั่นคือการพบตรง ๆ ว่ามีการลักลอบนำผลงานวิชาการจากแหล่งอื่นแล้วมาอ้างเป็นของตนเอง ทั้งนี้กรณีดังกล่าวได้รับความร่วมมือกับภาคสังคมในการช่วยกันตรวจสอบหาเบาะแสอีกทางหนึ่ง
ถ้าบางเว็บไซต์ไม่ได้คัดลอกงานคนอื่น แต่ดำเนินการผลิตวิทยานิพนธ์ขึ้นมาใหม่ทั้งเล่ม จะตรวจสอบอย่างไร
- รศ.ดร.พัชณิตา : ก็ต้องดูข้อมูลที่เขานำเสนอว่ามีที่มีที่ไปจากไหนบ้าง สมมติว่า ข้อมูลสถิตินั้นเขาไปเอามาจากไหน ซึ่งแน่นอนหากเขาไม่ได้ทำเองก็ต้องลอก หรือปรุงแต่งขึ้นเอง มันก็เข้าข่ายผิดจรรยาบรรณทั้งคู่ และถ้าลอกมาทั้งประโยค หรือข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งเราจะสามารถตรวจสอบได้ทันที ทั้งนี้เขาอาจจะมีโปรแกรมเพื่อเขียนใหม่ก็ได้ เพราะเทคโนโลยีมันสามารถพลิกแพลงกันได้ ซึ่งส่วนสำคัญคืออาจารย์ที่ปรึกษาต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ แต่ถ้ามีการรวมหัวกันระหว่างอาจารย์และนิสิตเราก็คงทำอะไรไม่ได้จริง ๆ
สัดส่วนระหว่างนิสิตที่ทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์กี่คน ต่ออาจารย์ที่ปรึกษา 1 คน
- รศ.ดร.อมร : ที่จุฬาฯ มีนิสิตที่จบปริญญาเอกปีละประมาณ 500 คน หากนับสัดส่วนเฉพาะอาจารย์ที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์คือ อาจารย์ 1 คน ต่อนิสิตประมาณ 3 คน ซึ่งตรงตามกฎของคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ที่กำหนดว่า อาจารย์ 1 คน ต่อนิสิตไม่เกิน 5 คน อย่างไรก็ตามถ้าหากมีอาจารย์บางท่านที่มีศักยภาพสูง และมีผลงานวิชาการตีพิมพ์ต่อเนื่อง จะอนุญาตให้คุมเกิน 5 คนได้
- รศ.ดร.พัชณิตา : เราพยายามจะสร้างระบบให้มันเอื้อต่อการตรวจสอบ ดังนั้นอาจารย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และเมื่อรวมกับมาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ตรวจสอบได้ดีขึ้น
สายวิชาไหนที่มีการจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ เยอะที่สุด
- รศ.ดร.พัชณิตา : มันอยู่ที่ธรรมชาติของงานมากกว่า ถ้าเป็นงานที่ค้นคว้าเยอะ ๆ โอกาสที่จะลอกกันก็มีอยู่สูง บางทีอาจเกิดจากการแปลกันไปมา ผันไปผันมา ก็วนมาเจอกันเองก็มี ซึ่งส่วนมากมักเป็นสายสังคมศาสตร์ฯ เพราะเป็นสายที่ต้องนำข้อมูลเก่ามาวิเคราะห์
การคัดลอกหรือจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ ส่งผลต่อวงการวิชาการไทยอย่างไรบ้าง
- รศ.ดร.อมร : แบ่งได้เป็น 2 ปัญหาใหญ่คือ 1) ในแง่องค์ความรู้มันไม่มีอะไรใหม่ ซึ่งนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ และ 2) การที่ไม่ยอมรับว่างานนี้เป็นงานของคนอื่น คือการหลอกลวงตัวเอง หลอกลวงสังคม ซึ่งมันจะมีผลในด้านการละเมิดลิขสิทธิ์ และจะมีผลทางกฎหมายตามมา นอกจากนี้ยังมีผลทางสังคมอีกด้วย
พฤติกรรมการจ้างทำวิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์ ถือเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาไทย จะแก้ไขอย่างไร
- รศ.ดร.อมร : อาจเป็นค่านิยมของคนบางคนที่อยากได้ปริญญาแต่ไม่อยากระทำ คือมีเงินแต่อยากได้ปริญญา ซึ่งตรงนี้มันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นเราต้องแก้ที่จิตสำนึก การที่จะไปแก้ตอนสุดท้ายคือถอนใบปริญญามันไม่ควรจะเกิดขึ้น ต้องสร้างความตระหนักว่าถ้าทำเรื่องแบบนี้จะมีผลลัพท์ตามมา เมื่อสร้างความตระหนักแล้วก็ต้องมาดูว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ คือมีทั้งติดตามและตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้อีก ท้ายสุดเชื่อว่ามาตรการด้านกฎหมาย และมาตรการแต่ละมหาวิทยาลัย จะช่วยลดและทำให้ปัญหานี้หมดไปได้
