คดีแก้ รธน. "มาตรา 68" ใครจะเพลี่ยงพล้ำ "ศาลหรือ ส.ส.-ส.ว." ?
ชักจะใกล้งวดเข้า มาทุกขณะสำหรับความเป็นไปในการวินิจฉัยคดีการแก้ไขรัฐธรรมนญมาตรา 68 ของศาล รัฐธรรมนูญ ที่ถูกจับตามองอย่างมากว่าจะเป็นหนึ่งในชนวนร้อนการเมืองหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคดีออกมาในทางไม่เป็นคุณกับฝ่าย 312 ส.ส.-สว.ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68

ซึ่งจนถึงขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีความเห็นให้รวมคำร้องที่มีกลุ่มบุคคลยื่นคำร้องมายังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจิฉัยเรื่องนี้ทั้งสิ้น 4 คำร้องไว้เป็นสำนวนเดียวกันหมดแล้ว อันประกอบไปด้วย 4 คำร้องของของพลเอกสมเจตน์บุญถนอม-สมชาย แสวงการ -บวร ยสินทร-วรินทร์ เทียมจรัส
เนื่องจากลักษณะคำร้องทั้งสี่คำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภา 312 คน ยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญซึ่งขัดต่อมาตรา 68 หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าล้วนเป็นคำร้องลักษณะเดียวกัน
อย่างไรก็ตามก็มีข่าวออกมาว่าล่าสุด นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ออกมาเปิดเผยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน ซึ่งคำร้องของนายสุวัตร พบว่ายังไม่ได้มีการนำเข้าหารือในที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ22 พ.ค. 56 เพราะเพิ่งยื่นไป แต่ก็มีข่าวออกมาว่าทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมกันกลางสัปดาห์นี้คือ 29 พ.ค. 56 เพื่อถกแถลงในประเด็นข้อกฎหมาย-ข้อเท็จจริงกันว่า
“จำเป็นจะต้องมีการไต่สวนฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องหรือไม่ หรือจะสามารถพิจารณาวินิจฉัยได้ทันที”
ทั้งนี้ท้ายสุดหากนายสุวัตรยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามที่ให้สัมภาษณ์ไว้ได้ถูกต้องและทำทันภายในสัปดาห์นี้ แล้วสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้ ก็จะทำให้คนที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ล้วนเป็นกลุ่มเดียวกันกับตอนที่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่ส่งผลให้รัฐสภายังไม่สามารถโหวตวาระ 3 ได้จนถึงขณะนี้ จะขาดเพียงก็แต่ฝ่าย”พรรคประชาธิปัตย์”เท่านั้นที่รอบนี้ไม่ได้ยื่นเข้ามา
ผู้คนจึงจับตามองกันไม่น้อยว่าแล้วรอบนี้ คนกลุ่มเดียวกันนี้ จะทำให้การแก้ไขมาตรา 68 ที่ เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิทักษ์รัฐ ธรรมนูญเมื่อเห็นว่ามีการกระทำอันน่าสงสัยว่าจะเป็นการล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย
กลุ่มผู้ร้องเดียวกับครั้งที่แล้ว จะทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลงเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่?
ตรงนี้วิเคราะห์ไว้ก่อนว่า หากคำร้องดังกล่าวของนายสุวัตรยื่นถูกต้องและทันการ คำร้องก็ต้องไปเข้าที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันวันที่ 29 พ.ค.นี้ เมื่อมีคำร้องเข้ามาใหม่ ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมีมติก่อนว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง แต่ดูแล้วก็คงรับไว้ค่อนข้างแน่นอน จากนั้นก็ต้องมาพิจารณาอีกว่า รับแล้วจะนำคำร้องคดีดังกล่าวมารวมไว้ด้วยกันหมดกลายเป็น 5 คำร้องหรือไม่ ที่วิเคราะห์กันไว้ว่าก็น่าจะต้องรับรวมไว้เช่นกันเป็น 5 คำร้อง
ซึ่งเมื่อมีคำร้องใหม่เข้ามา ก็ทำให้ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องวินิจฉัยกันต่อไปว่าแล้วต่อไปจะเอาอย่างไร อันยากจะคาดเดาใจของ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ว่าจะออกมาในแนวทางไหน ที่ก็อาจออกมาได้หลายแนวทางเช่น
อาจจะเห็นว่าคำร้องทั้งหมดล้วนเหมือนกันหมด ดังนั้นก็มีความเห็นได้เลยว่าจะต้องมีการเปิดห้องไต่สวนพิจารณาคำร้องโดยเรียกฝ่ายผู้ร้อง-ฝ่ายผู้ถูกร้อง มาชี้แจงตอบข้อซักถามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกับที่เคยทำตอนพิจารณาคำร้องคดีแก้ไขมาตรา 291หรือไม่
หรืออาจจะเห็นว่าเมื่อมีคำร้องใหม่คือของนายสุวัตรเข้ามา แล้วเพิ่งรับคำร้องไว้พิจารณาก็ขอตรวจสอบรายละเอียดคำร้องก่อน แล้วก็ค่อยเอาไว้ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดต่อไปค่อยคุยกันว่าอย่างไร ไม่จำเป็นต้องรีบ
และก็เป็นไปได้ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอาจเห็นว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอะไรมาก เพราะข้อเท็จจริงต่างๆ ก็ยังไม่คืบหน้าไปมาก กระบวนการพิจารณาก็ยังอยู่ในชั้นกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของรัฐสภา ดังนั้นก็พิจารณาแต่เฉพาะข้อกฎหมายอย่างเดียวก็ได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของ 312 ส.ส.-สว.ที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบวาระแรกรับหลักการไปแล้ว
แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดีได้แล้วว่า ให้เดินหน้าการวินิจฉัย เพราะตามระเบียบวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญก็บอกไว้ว่า หากศาลเห็นว่าคดีใดเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ ศาลอาจประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยโดยไม่ทำการไต่สวนก็ได้
เวลานี้ ผู้คนจึงวิเคราะห์กันแล้วว่า แนวทางการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญคงออกมาใน 2 ทางนี้คือ
หากเห็นว่าต้องเปิดห้องพิจารณาไต่สวนคำร้อง แล้วเรียกผู้ร้อง-ผู้ถูกร้อง พยานผู้ร้อง พยานฝ่ายผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำต่อศาลรัฐธรรมนูญ คดีนี้ก็มีแนวโน้มยาวเลยกว่าจะวินิจฉัยคดี
เพราะต้องมีการเรียกผู้ร้องและผู้ถูกร้องอย่างสมศักดิ์ ประธานรัฐสภาและตัวแทน 312 ส.ส.-สว.มาให้ถ้อยคำต่อสู้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ แล้วทางฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องก็ยังสามารถส่งรายชื่อพยานบุคคลที่ต้องการให้ศาลเรียกมาให้ถ้อยคำต่อศาลได้อีก –ต้องมีการส่งเอกสารแถลงสรุปคดีอีก และขั้นตอนอีกมากมาย หากออกมาแบบนี้ กระบวนการสู้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญก็อาจต้องยืดเยื้อสักระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ทางสมศักดิ์และพวก 312 ส.ส.-สว.ต่างประกาศแล้วว่าจะไม่เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญในชั้นใดๆ ทั้งสิ้นแม้จะมีสว.ส่วนหนึ่ง 15 คนแหกโผส่งเอกสารชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่เสียงส่วนใหญ่ 297 คนใน 312 คน ก็ไม่ได้ส่งเอกสารคำชี้แจงสู้คดีไปยังศาลรัฐธรรมนูญดังนั้นผู้ถูกร้องส่วนใหญ่ ก็ย่อมไม่ไปให้ถ้อยคำกับศาลรัฐธรรมนูญกลางห้องพิจารณาคดีแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็น”มวยล้มต้มคนดู”กันไป เสียหายทางการเมืองและเสียแนวร่วมฝั่งตัวเองที่ให้ชนกับศาลรัฐธรรมนูญแบบเปิดหน้าท้าชก
น่าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญคงต้องพิจารณาประเด็นนี้เช่นกัน ถึงแม้อาจจะไม่ได้คิดอะไรในทางการเมือง ว่ากันไปตามกระบวนการพิจารณาคดี ที่ต้องให้สองฝ่ายคือผู้ร้องกับผู้ถูกร้อง มาสู้คดีกันอย่างเป็นธรรม เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญเรียกสองฝ่ายมาชี้แจงมาสู้คดี แต่ปรากฏว่าฝ่ายผู้ถูกร้อง ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญไม่มาชี้แจงสู้คดี แล้วมีฝ่ายผู้ร้องมาฝ่ายเดียว แม้ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกภายหลังหากพบว่ามีแต่ผู้ร้องมาชี้แจงเพื่อไม่ให้เป็นการรับฟังข้อมูลด้านเดียว แต่ภาพที่ออกไปมันจะไปเข้าทาง 312 ส.ส.-สว.ทันที
เชื่อว่าประเด็นนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็คงมองเอาไว้เช่นกัน ว่าอาจจะกลายเป็นการเปิดช่องให้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำได้ มันจึงเป็นเรื่องที่ตุลาการทั้งหมด ก็ต้องขบคิดกันให้รอบด้านแน่นอน
แต่หากออกมาในแนวทางคือ ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถวินิจฉัยคดีได้เลย ไม่ต้องไต่สวนข้อเท็จจริง-เรียกพยานอะไรมาชี้แจงทั้งสิ้น
แบบนี้ คดีก็น่าจะจบเร็ว เพราะไม่ต้องเรียกใครมาชี้แจงอะไรทั้งสิ้น ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินวินิจฉัยคดีกันได้เลย
ส่วนจะถึงขั้นว่าคุยกันวันที่ 29 พ.ค.นี้แล้ว จะลงมติกันเลยหรือไม่ มันก็ต้องลุ้นกันเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครเดาทางเดาใจ 9ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันได้
ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิเคราะห์ที่น่าสนใจถึง”ตัวแปรสอดแทรก”ที่อาจมีผลต่อการใช้ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดีแก้ไขมาตรา 68
นั่นก็คือการที่คณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 68 ที่มี”ดิเรก ถึงฝั่ง”สว.นนทบุรีเป็นประธาน ซึ่งปรากฏว่าที่ประชุมกมธ.เสียงส่วนใหญ่ ใช้มติ”ฉีกโผ”แก้ไขถ้อยคำบทบัญญัติในมาตรา 68 ไปจากร่างเดิมที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาวาระแรก ที่ร่างเดิมให้การยื่นคำร้องเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้ยื่นต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น จะไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้
ทว่าในชั้นคณะกมธ.แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 มีการขานรับข้อเสนอของ”วิทยา บุรณศิริ”ส.ส.พระนครศรีอยุธยาฯ ที่เสนอต่อที่ประชุมว่าให้เพิ่มถ้อยคำในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นว่า
“การตรวจสอบข้อเท็จจริงของอัยการสูงสุดตามวรรคสอง ให้อัยการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง
“หากอัยการสูงสุดไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ผู้ทราบการกระทำมีสิทธิ์เสนอเรื่องเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการได้โดยตรง ซึ่งต้องยื่นภายใน 30 วันนับแต่ครบกำหนดเวลาที่อัยการสูงสุดดำเนินการตรวจสอบ”
จนสุดท้ายเสียงข้างมากที่เป็นพวกส.ส.พรรครัฐบาลและสว.ที่หนุนหลังการแก้ไขมาตรา 68 ก็เอาด้วยจนลงมติให้ใช้ถ้อยคำตามที่นายวิทยาเสนอในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชั้นกมธ.
จากมติดังกล่าวของกมธ.จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นการ
”ถอยหนึ่งก้าวให้ศาลรัฐธรรมนูญ”
ของกมธ.ที่ก็คือพวกที่เป็น 312 ส.ส.-สว.ที่ร่วมกันลงชื่อแก้ไขมาตรา 68 และตกอยู่ในฐานะ”ผู้ถูกร้อง”ในคดีมาตรา 68 ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญที่น่าจะเป็นท่าทีการเมืองอย่างหนึ่งที่อาจต้องการสื่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่าพร้อมจะ
"พบกันครึ่งทาง”
คือจากร่างเดิมที่แทบจะตัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญส่วนนี้ไปเลย ปล่อยให้ทุกอย่างต้องชงมาจากอัยการสูงสุด อันผิดไปจากคำวินิจฉัยเดิมของตัวเองที่ถูกมองว่า”ขยายอำนาจ”ให้ไปรับคำร้องได้เองจากประชาชนโดยตรง จนเกิดกระแสตีกลับไม่เห็นด้วยการการมีคำวินิจฉัยที่ถูกมองว่าขยายอำนาจตัวเองมากมายพอสมควร ก็มาเป็นให้ทอดเวลาสัก 30วันหากการพิจารณาของอัยการสูงสุดไม่คืบค่อยให้ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ตรงส่วนนี้หลายคนก็มองว่าศาลรัฐธรรมนูญน่าจะรับได้บ้างเพราะช่วง 30 วันดังกล่าว ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายอะไร หากสุดท้ายเรื่องมายื่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลก็สามารถพิจารณาให้เป็นเรื่องเร่งด่วนและอาจมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินได้
แต่ในประเด็นนี้ ก็มีข้อให้ต้องขบคิดกันต่อไปว่า ต้องไม่ลืมว่านี้ยังเป็นแค่ร่างกมธ.วิสามัญฯ ที่ก็ต้องเอาไปให้รัฐสภาพิจารณาวาระ 2 อยู่ดี
ที่ก็หมายถึงว่าหากเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมร่วมรัฐสภา มามีมติไม่เอาด้วยกับร่างของกมธ.ฯ คือใช้มติเสียงส่วนใหญ่ให้กลับไปใช้ร่างเดิมที่รับหลักการมาตรา 68 ไว้ตอนวาระแรกซึ่งจะไม่มีการเปิดช่องให้ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้และไม่มีเงื่อนไขเรื่อง 30 วันตามที่กมธ.เห็นชอบ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น
นั่นหมายถึงว่าที่คนวิเคราะห์กันว่า ศาลรัฐธรรมนูญอาจวินิจฉัยโดยยกคำร้องเพราะมองว่ามติของกมธ.วิสามัญฯที่ให้มีเงื่อนไขยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้หลังยื่นอัยการสูงสุด 30 วันแล้วไม่คืบ โดยศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยกันไปก่อนที่รัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและลงมติโหวตวาระ 2 และ วาระ 3 ที่คาดว่าจะเป็นช่วงหลังเปิดสภาฯเดือนสิงหาคม
มีการอ่านกันว่า ทางศาลรัฐธรรมนูญเองก็ย่อมเข้าใจดีว่าที่ไปเพิ่มเติมเรื่อง 30 วัน มันยังเป็นแค่ชั้นกมธ.ที่สุดท้ายก็อาจมีการใช้เสียงส่วนใหญ่โหวตกลับให้ไปใช้ตามร่างเดิมที่ผ่านวาระแรกอันทำให้ร่างของกมธ.ตกไปได้
หากศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัยกันก่อนเลยโดยเฉพาะหากออกมาแบบยกคำร้อง ในช่วงที่รัฐสภายังไม่ลงมติวาระ 2 ก็อาจทำให้ไปเข้าทางใครบางคนใน 312 ส.ส.-สว.ก็เป็นไปได้ แล้วพอถึงคราวประชุมรัฐสภาวาระ 2 ก็ค่อยใช้เสียงข้างมากเห็นชอบให้กลับไปใช้ร่างเดิมของ 312 ส.ส.-สว.ที่ไม่มีเรื่องเงื่อนไข 30 วัน
เห็นหรือยังว่า เกมนี้มันมีการวางหมากอะไรกันไว้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เพราะต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่าตอนศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดีแก้ไขมาตรา 291 เป็นการพิจารณาหลังรัฐสภาผ่านวาระ 2 ไปแล้ว ถ้อยคำ-บทบัญญัติทั้งหมดมีมติกันไปแล้ว เหลือแค่รอโหวตวาระ 3 แต่กรณีนี้ที่กำลังพิจารณามาตรา 68 มันยังแค่อยู่ในชั้นกมธ.เท่านั้น มันยังมีพลิกไปพลิกมาได้อีก
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 4 เสียงคือวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ-ชัช ชลวร –อุดมศักดิ์ นิติมนตรี –บุญส่ง กุลบุปผา เห็นว่าศาลยังไม่ควรรับคำร้องไว้เพราะกระบวนการแก้ไขมาตรา 68 ยังไม่ได้ข้อยุติเพราะยังแค่ผ่านวาระแรกของรัฐสภาไปเท่านั้นไม่เหมือนกับตอนพิจารณาคำร้องแก้ 291 ที่ผ่านวาระ 2 ไปแล้ว แต่ก็แพ้โหวตเสียงข้างมาก 5 เสียงที่ประกอบไปด้วย จรัญ ภักดีธนากุล-สุพจน์ ไข่มุกด์จรูญ อินทจาร-นุรักษ์ มาประณีต และเฉลิมพล เอกอุรุ
ครั้นหากศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สนใจมิติการเมืองต่างๆที่อาจมีส่วนต่อการวินิจฉัยคดีซึ่งได้ยกมาข้างต้นวิเคราะห์ข้างต้น โดยว่ากันไปตามระเบียบขั้นตอนกันเลย ไม่ดูองค์ประกอบอื่นๆ ก็เป็นไปได้ที่การวินิจฉัยคดีก็อาจเสร็จก่อนจะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วาระ 2 และ 3
แม้จะมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ศาลก็อาจไม่จำเป็นต้องเร่งวินิจฉัยคดีตอนนี้ คือก็รอให้รัฐสภาโหวตวาระ 2 อะไรก็ให้เรียบร้อยเสียก่อนเพื่อดูว่าสรุปสุดท้ายมาตรา 68 ทางรัฐสภาว่ายังไง แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็ค่อยมาว่ากันอีกที แม้จะต้องรอไปถึงช่วงสิงหาคมก็ตาม เพราะหลายต่อหลายคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้ก่อนหน้านี้ก็นานหลายเดือนกว่าศาลจะวินิจฉัยเสร็จ
โอกาสและความเป็นไปของคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมนูญจึงออกได้”หลายเหลี่ยม-หลายมุม”ไม่ใช่แค่ที่วิเคราะห์มาข้างต้น อาจออกมาได้อีกหลายสูตร ชนิดคาดไม่ถึงก็ได้ !!!
