“คนไกล” กังวลภาพลักษณ์ “ปู” เสื่อม ส่ง บิ๊กแจ๊ส” กล่อมหมอเลิกชุมนุม
ร่วม 1 สัปดาห์ ก่อนชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายดีเดย์เคลื่อนทัพ ตามนัดหมายในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ ที่บ้านพักนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศจุดยืนคัดค้านการจ่ายเงินค่าตอบแทนตามภาระงาน (พี4พี) ท่าทีจาก หลากหลายองคาพยพประดาโหมกระแส 
(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
กระทั่งใครบางคนหวาดวิตก
อาการประหวั่นพรั่นพรึงปรากฏผ่านสัญญาณที่กระสับกระส่ายของทั้งรัฐบาลและผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เริ่มตั้งแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เปรยว่า “รู้สึกกังวล” เรื่อยมาจนถึงการ “ต่อสายตรง” ระหว่าง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กับ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เพื่อเกลี่ยกล่อมให้การชุมนุมในครั้งนี้ยุติลง
ระหว่างนั้น มีความพยายามในทางลับที่จะ “สงบศึก” หรืออย่างน้อยก็ขอยืดเวลาการชุมนุมของกลุ่มแพทย์ชนบทออกไป ซึ่งนำมาสู่วงเจรจาร่วม โดย นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รับคำสั่งให้นัดหมาย นพ.เกรียงศักดิ์ เพื่อทำความเข้าใจ
ให้เข้าใจว่ามี “ใคร” บางคนไม่สบายใจ
ผลการเจรจาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ ผ่านมา ซึ่งตัวแทนจากซีกชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายภาคประชาชน สหภาพองค์การเภสัชกรรม และรัฐบาลเข้าร่วม มีมติเบื้องต้นเพื่อดำเนินการใน 2 ประเด็น หนึ่งคือ ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคู่ขัดแย้งโดยตรงคือ “แพทย์ชนบท” และ “สธ.” ไม่สามารถตกลงกันได้ ที่ประชุมจึงได้ตั้ง “คนกลาง” เพื่อไกล่เกลี่ย อันได้แก่ นายสุรนันทน์ และ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อีกหนึ่งคือ หากเวทีการเจรจาในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ ได้ข้อยุติประการใด ให้มีมติดำเนินการได้ทันที แต่หากยังมีปัญหาคาราคาซัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้ทุบโต๊ะบัญชาการด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ดี ในวันเจรจาร่วมเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น มี “ตัวละคร” หนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวพันอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นคือ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) โดย นายสุรนันทน์ ส่งข้อความส่วนตัวผ่านช่องทางทวิตเตอร์ว่า “พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คือคนกลางจัดการเจรจาครั้งนี้”
กระแสข่าวที่เกิดขึ้นก่อนจะนำมาสู่เวทีการเจรจาในครั้งนี้ เกิดขึ้นจาก “ความกังวล” ว่ากลุ่มผู้ป่วยไตจำนวน 300 คน จะบุกไปร่วมชุมนุมหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรี และในวันนั้นจะมีการ “ล้างไต” โชว์หน้าบ้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย
“อาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศเสีย” คือเหตุผลที่นายสุภรณ์ กล่าวก่อนต่อสายถึงแพทย์ชนบท นั่นคือเหตุผลเดียวกับที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุ และสอดรับกับกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงความกังวลผ่านมาทาง พล.ต.ท.คำรณวิทย์
"ปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ นพ.ประดิษฐ คนเดียว แต่เกี่ยวข้องกับปลัดสธ.ด้วย เพราะรมว.สธ.เคยสั่งให้ปลัดสธ.ไปแก้ปัญหา แต่ปลัดสธ.ยังยืนยันในแนวทางเดิม" แหล่งข่าวกล่าวอ้างคำพูด พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ในที่ประชุมวันที่ 30 พ.ค.
ตอกย้ำให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น
แม้ว่าตัว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เองได้ชี้แจงว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในสธ. เป็นเพราะไม่มีการพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าที่สุดแล้วจะจบลงได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ” แต่อย่างใด
ทว่า พฤติกรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ในวันที่ 30 พ.ค.ที่ได้ “ขอข้อมูล” ความขัดแย้งในสธ.จากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะนำไปเสนอ “คนไกล” กลับสวนทางโดยสิ้นเชิงกับคำกล่าวก่อนหน้า
สำหรับข้อเรียกร้องที่จะนำเข้าสู่การประชุมในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ หนึ่ง ชมรมแพทย์ชนบท ได้แก่ 1.ให้ สธ.ใช้ระบบหนึ่งกระทรวงสองระบบ คือให้โรงพยาบาลชุมชนกลับไปใช้ระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเช่นเดิม และหากโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไปสมัครใจที่จะใช้ระบบค่าตอบแทนตาม ภาระงานก็ให้ใช้ได้ 2.ให้สธ.ยกเลิกมติครม.วันที่ 31 มี.ค.2556 ในส่วนของโรงพยาบาลชุมชน และนำประกาศฉบับที่ 4 และ 6 มาใช้ 3.ให้มีคณะทำงานพัฒนาเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้ความเป็นธรรมกับทุกสหวิชาชีพ 4.ยุติการรวบอำนาจการจัดสรรงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของเขตกระทรวงสาธารณสุข 12 เขต
สอง กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้แก่ 1.งดการใช้ระบบร่วมจ่ายของประชาชนที่จุดบริการ เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพของไทย 2.ให้ยึดมั่นหลักการแยกบทบาทผู้ซื้อบริการ ออกจากผู้ให้บริการ 3.ให้ยุติการรวบอำนาจการจัดสรรงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพ ของเขตกระทรวงสาธารณสุข 12 เขต
สาม สหภาพแรงงานองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้แก่ 1.ให้คณะกรรมการดำเนินคดีกับกลุ่มต่างๆ ที่ให้ร้าย อภ. 2.ให้รมว.สธ.และประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม ยุติการแทรกแซงการบริหารงานขององค์การเภสัชกรรม เช่น การโยกย้ายผู้บริหารระดับสูง การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ขององค์การเภสัชกรรม กรณีเงิน 75 ล้านบาท 3.ให้รมว.สธ.ยุติการสั่งการใช้เงินสะสมของอภ.จำนวน 4,000 ล้านบาท ในการสร้างศูนย์ความเป็นเลิศของสธ. หรือสั่งการให้องค์การเภสัชกรรมแทรกแซงการซื้อยาโรคหัวใจจำนวน 2,000 ล้านบาท หากบอร์ดไม่ดำเนินการตาม 3 ข้อข้างต้นให้บอร์ดลาออกทั้งคณะ 4.รัฐบาลต้องยืนยันว่าจะไม่แปรรูปอภ.และให้รมว.สธ. ยุติการใช้อำนาจแทรกแซงการจัดซื้อยาของหน่วยบริการ โดยการรวบอำนาจให้ผู้ตรวจราชการเป็นผู้จัดซื้อแทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ
ต้องจับตาดูว่าสิ่งเหล่านี้จะได้รับสนองตอบมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากแพทย์ชนบทยอม “เลื่อน” การชุมนุมออกไป และพร้อมเดินหน้าเข้าสู่วงเจรจา คือกระแสตีกลับ“มวยล้มต้มคนดู” คือหนึ่งในข้อครหาที่พบมากที่สุด
ว่ากันตามจริงแล้ว แพทย์ชนบทก็คงพยายามโหมกระแสเพื่อนำมาสู่เป้าหมายการเจรจา ไม่ต่างจากการจัดทำม็อบทั่วไป นั่นเพราะพิเคราะห์ความพร้อมแล้ว ชมรมแพทย์ชนบทเองคงไม่ต้องการจะชุมนุม
ประการ หนึ่งคือมวลชน กำลังพล ที่ประเมินแล้วอาจไม่ได้มากมายอย่างที่อวดอ้าง ประการที่สองงบประมาณจากการชุมนุมคงมีจำกัด ประการที่สามความปลอดภัยหากต้องเจอกับมวลชนเสื้อแดงที่ประกาศกร้าวเตรียมออก มาปกป้องบ้านพักนายกรัฐมนตรี
นั่นทำให้การเจรจาคือชัยชนะทางยุทธศาสตร์แรกของแพทย์ชนบท ด้วยปัญหาที่โหมนำไปสู่ระดับนโยบาย นี่กลายเป็นปัญหาของรัฐบาลไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ ในสธ.อีกต่อไป
ทว่าที่น่าสนใจคือการเจรจาในวันที่ 6 มิ.ย.จะเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” แล้วกวาดปัญหาซุกเข้าใต้พรมอีกหรือไม่ หากข้อยุติการเจรจา คือการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาปัญหาและให้รับฟังความคิดเห็นต่อไป
นอกจากนี้ หากแม้รัฐบาล หรือสธ.คือตัว นพ.ประดิษฐ เองยอมถอย ยกเลิกระบบการจ่ายเงินตามภาระงานจริง คำถามคือใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อ “นโยบายที่ผิดพลาด” ... การตัดสินใจเดินหน้านโยบายที่ผิดพลาด แก้ไขได้ด้วยการยกเลิกแล้วถือว่าปัญหาจบเท่านั้นหรือ?
ที่ต้องจับตาหลังจากนี้ มี 2 ประเด็น หนึ่งคือหากรัฐบาลมองว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะนำไปสู่ความไม่มั่นคงของรัฐบาล อาจจะเลือกวิธี “ตัดเนื้อร้าย” ซึ่งแน่นอนว่า “ข้าราชการประจำ” อย่าง นพ.ณรงค์ ปลัดสธ. สุ่มเสี่ยงที่สุด
อีกประเด็น คือ “การเปลี่ยนหน้าชก” คือ หาบุคคลอื่นเข้ามารับผิดชอบหาทางออกเพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องนโยบายที่กำลัง ขัดแย้ง ในขณะที่นพ.ประดิษฐ ก็เดินหน้าที่นโยบายอื่นต่อไป ซึ่งก็ถือว่ารัฐบาลไม่ได้เสียอะไร และการเคลื่อนไหวของแพทย์ชนบทก็แทบไม่ได้ผลเชิงโครงสร้าง
อาจได้ผลเพียงสร้างกระแสให้กับสังคม
อย่างไรก็ดี เชื่อว่า ชมรมแพทย์ชนบท จะต้องมีหมัด 2 หมัด 3 และหมัดน็อก เพื่อลบข้อครหา “มวยล้มต้มคนดู” มิเช่นนั้นจากนี้ ความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวจะหมดไป !!!
