“TOR กลับหัวกลับหาง” ประเด็นพิฆาต “แผนน้ำ 3.5 แสนล้าน”
1 ใน “ประเด็นสำคัญ” ที่องค์คณะศาลปกครองกลาง ใช้ในการพิพากษาว่า นายกรัฐมนตรี กนอช. กยน. และ กบอ.กระทำผิดรัฐธรรมนูญ เรื่องการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำ ที่ใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท
พร้อมสั่งให้ไปดำเนินการ "รับฟังความเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง-จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม" ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับบริษัทผู้รับจ้าง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรคสอง และมาตรา 67 วรรคสอง ในคดีความเลขดำที่ 940/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 1025/2556

(ภาพจากเว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส)
ก็คือการจัดทำ “ข้อกำหนดและขอบเขตงาน (TOR)” แบบ “กลับหัวกลับหาง” ด้วยการให้บริษัทเอกชนในฐานะผู้รับจ้างไปจัดให้มีการศึกษาด้านต่างๆ รวมทั้งให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แทนที่จะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ
โดยคำพิพากษาคดีดังกล่าวฉบับย่อซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์สำนักงานศาลปกครอง (www.admincourt.go.th) ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไว้ว่า
“ศาลได้วินิจฉัยในประเด็นที่สองแล้วว่า ในการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ละเลยต่อหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ดังนั้น กรณีนี้จึงต้องถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา 57 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ด้วย
“และเมื่อพิจารณารายละเอียดของ TOR ตามโครงการเพื่ออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย แล้วจะเห็นได้ว่า หากมีการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวจริงย่อมต้องมีการใช้พื้นที่จำนวนหนึ่งในการก่อสร้าง ซึ่งบางส่วนเป็นพื้นที่ป่าไม้ บางส่วนเป็นที่ดินที่ประชาชนอยู่อาศัยและใช้ประกอบอาชีพ ทำให้เข้าลักษณะเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน รวมทั้งได้ให้องค์กรอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ได้ให้ความเห็นประกอบการดำเนินการดังกล่าว
“แม้ว่าเมื่อพิจารณาข้อกำหนดในส่วนที่เกี่ยวกับรูปแบบของโครงการตามที่กำหนดไว้ในหัวข้อ 6 และขอบเขตงานหลักตามที่กำหนดไว้ในหัวข้อ 5 ของแต่ละ Module แล้วจะเห็นได้ว่า จะต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน อันเป็นการแสดงเจตนาของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าว
“แต่การที่ TOR ดังกล่าว กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างในการศึกษาในด้านต่างๆ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น นอกจากการดำเนินการดังกล่าวของผู้รับจ้างอาจเบี่ยงเบนหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากผู้รับจ้างดังกล่าวเป็นผู้ที่ได้ทำสัญญารับจ้างออกแบบและก่อสร้างกับรัฐไปแล้ว และเป็นปกติวิสัยในทางธุรกิจของผู้ประกอบการทั้งหลายที่ย่อมคำนึงถึงผลกำไรสูงสุดจากการประกอบการเป็นสำคัญ จึงย่อมประสงค์และอาจพยายามให้ผลการศึกษาดังกล่าวออกมาในลักษณะที่ให้มีการก่อสร้างต่างๆ
“ซึ่งกรณีดังกล่าวนอกจากจะทำให้เป็นที่ไม่มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลการดำเนินการแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการกำหนดให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง อีกด้วย”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2556 ศาลปกครองเชียงใหม่ ก็เคยพิพากษาคดีที่มีแนวคำวินิจฉัยใกล้เคียงกับศาลปกครองกลางในคดีนี้ โดยสั่งเพิกถอนการออกใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลใน จ.เชียงราย ที่จะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่ผู้ที่จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว กลับเป็นบริษัทเอกชนแทนที่จะเป็นหน่วยงานของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมประชาคมเพียง 1.2 พันคน คิดเป็น 15% จากประชากรในพื้นที่ทั้งหมดกว่า 7.7 พันคน
(อ่านคำพิพากษาฉบับย่อของศาลปกครองกลางในคดีดังกล่าวได้ ที่นี่)
- อ่านประกอบ
ศาลปค.พิพากษา ให้รัฐนำ"แผนน้ำ3.5แสนล้าน"กลับไปรับฟังความเห็นก่อนเซ็นสัญญา
ส.โลกร้อน รุกต่อ ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด “นายกฯ-ปลัด สปน.”
