“กรณ์ จาติกวณิช” ไขคำตอบ รบ.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน ทันเส้นตายหรือไม่

(กรณ์ จาติกวณิช - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์)
วานนี้ (30 มิ.ย.2556) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการกู้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีต รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Korn Chatikavanij ตั้งข้อสังเกตกรณีที่รองปลัดกระทรวงการคลังไปลงนามในสัญญากู้เงิน กับสถาบันการเงิน 4 แห่ง เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2556 ว่ายังไม่ใช่การกู้เงินตาม พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว และจะไม่สามารถกู้เงินได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหาย มีข้อความดังนี้
-----
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาศาลปกครองกลางพิพากษาให้รัฐบาลนำแผนการลงทุนบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท กลับไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไป พร้อมกับทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรค 2 และมาตรา 67 วรรค 2 ก่อนลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัทเอกชน
หลังจากนั้นก็มีข่าวปรากฏตามที่ผมคาดไว้ว่ากระทรวงคลังได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้วกับ 4 สถาบันการเงิน ที่สำคัญคือท่านรองปลัดคลัง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
1. เป็นการลงนามเฉยๆโดยที่ยังไม่ได้มีการกู้และยังไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมหรือเป็นดอกเบี้ย
2. อ้างว่าต้องกู้เพื่อไม่ให้ขัดมาตรา 157
3. อ้างว่า "หากไม่ลงนามกู้เงินผูกพันไว้ก่อนโครงการลงทุนด้านน้ำก็ต้องพับไป ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียโอกาส ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้" (โพสท์ทูเดย์ 30 มิถุนายน 2556)
วันนี้เราต้องตอบคำถามว่า
1. กระทรวงคลังมีอำนาจในการลงนามสัญญาเงินกู้หรือไม่
2. การลงนามสัญญาเงินกู้โดยยังไม่ได้เบิกเงินกู้ถือว่าเป็นการกู้หรือยัง
3. ถ้าไม่ลงนามสัญญากู้ จะทำให้ 'โครงการลงทุนด้านนํ้าต้องพับไป' จริงหรือ และจะทำให้ข้าราชการปิดมาตรา 157 หรือไม่
ผมยืนยันอีกครั้งครับว่า
1. ก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2556 และก่อนศาลปกครองมีคำพิพากษา กระทรวงคลังมีอำนาจเต็มที่ แต่หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ชะลอการลงนามสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาแล้ว กระทรวงการคลังต้องรอผลการพิจารณาโครงการให้แล้วเสร็จตามคำสั่งศาลจึงจะกู้ได้ ข้อนี้ชัดเจนตามระเบียบสำนักนายกฯดังนี้:-
"ข้อ 15 เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้ว ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดสรรวงเงินกู้ตามที่ได้รับอนุมัติ
(2) ให้กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาจัดหาเงินกู้ให้แก่หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลตาม (๑) ให้แก่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อประกอบการพิจารณาจัดหาเงินกู้"
เพราะ 'แผนปฏิบัติงาน' ตาม (1) นั้นต้องไปทำใหม่ตามคำสั่งศาล ขั้นตอนการจัดหาเงินกู้ใน (2) จึงยังเกิดขึ้นไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารสำนักบริหารหนี้ก็ยืนยันหลักการที่ถูกต้องมาโดยตลอดว่าตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาว่าจ้างที่จะเป็นตัวชี้ถึงแผนการใช้เงิน กระทรวงการคลังก็จะกู้ไม่ได้
2. อย่างไรก็แล้วแต่ ท่านรัฐมนตรีคลังยังเข้าใจผิดอีกว่าการลงนามในสัญญากู้คือการปฏิบัติตามเงื่ิอนไขของ พ.ร.ก.ที่ระบุไว้ว่า:-
"มาตรา 3 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตรา ต่างประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้นำไปใช้จ่ายในการวางระบบบริหารจัดการน้ํา และสร้างอนาคตประเทศ โดยให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดนี้ต่อรัฐสภา เพื่อทราบก่อนเริ่มดำเนินการ
การกู้เงินตามวรรคหนึ่ง ให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกินสามแสนห้าหมื่นล้านบาทและให้กระทำได้ ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2556 "
เพราะการกู้หมายถึงการมีภาระเป็นหนี้ แต่การลงนามในสัญญาที่ท่านรองปลัดฯได้ดำเนินการไว้นั้นเป็นเพียงแค่การขอวงเงิน ยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินกู้จึงยังไม่เป็นหนี้ ง่ายๆ ก็คือวันนี้หนี้สาธารณะเราไม่ได้เพิ่มขึ้นมา 350,000 ล้านบาท เพียงเพราะการลงนามสัญญาว่าจะกู้โดยท่านรองปลัดฯ
หรือลองมองอีกแง่มุมหนึ่งคือถ้าความหมายของกฎหมายคือ กระทรวงคลังสามารถลงนามว่าจะกู้ได้โดยที่โครงการไม่ต้องมีความพร้อม และจะเบิกจ่ายเงินกู้นั้นเมื่อใดก็ได้โดยไม่มีเวลาจำกัด ผมขอถามครับว่า ทำไมต้องออกกฎหมายในรูปของพระราชกำหนดที่อาศัย 'ความจำเป็นเร่งด่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้' ในการกู้เงิน โดยตอนนั้นอธิบายกับประชาชนและตุลาการรัฐธรรมนูญว่าถ้าไม่รีบกู้จะทำให้โครงการป้องกันน้ำท่วมล่าช้า
ทำไมในกฎหมายถึงให้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งในการลงนามในสัญญาทั้งๆ ที่ถ้าทำแค่นี้ กระทรวงการคลังไม่น่าต้องใช้เวลาเกินหนึ่งเดือน และทำไมจึงต้องมีระเบียบสำนักนายกฯตามที่ผมยกขึ้นมาเบื้องบนว่าโครงการต้องมีความชัดเจนก่อนถึงจะกู้ได้
เอาว่าวันนี้สิ้นสุดเวลาทำงานวันที่ 30 มิถุนายน 2556 แล้ว ถามว่ากระทรวงคลังกู้เงินมาหรือยัง คำตอบคือยังเพราะเงินยังอยู่ที่ธนาคาร ภาระดอกเบี้ยยังไม่มีและรัฐบาลยังไม่เป็นหนี้ ส่วนพรุ่งนี้จะเบิกเงินกู้ได้หรือไม่ ก็ลองดูสิครับ แต่คราวนี้ผิดกฎหมายแน่ และถ้าทำเช่นนั้นผมไม่ติดใจดอกครับว่าท่านรองปลัดฯจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ เพราะคราวนี้เป็นความผิดระดับรัฐบาลแน่นอน
3. สุดท้ายถามว่าที่ท่านรองปลัดฯอ้างว่าถ้ากู้ไม่ได้โครงการจะล้มนั้น ด้วยความเคารพ ผมขอเรียนว่าท่านสับสนเหมือนกับที่รมว.ท่านสับสน เพราะงานกับเงินต้องแยกออกจากกัน เพียงแค่ พ.ร.ก.กู้เงินล้มไปไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยลงทุนต่อไปไม่ได้ หรือท่านกู้เงินนอกระบบงบประมาณเสียจนท่านลืมไปแล้วหรือครับว่าปกติเขาลงทุนผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณกัน
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลทำทุกอย่างครบถ้วนตามขั้นตอน ท่านก็เพียงจัดสรรเงินงบประมาณให้ก็เดินหน้าได้เลย
ที่อาจจะต้องล่มก็เพราะเมื่อถูกบังคับว่าต้องลงทุนผ่านวิธีงบประมาณ รัฐบาลก็จะไม่สะดวกในการใช้ 'วิธีพิเศษ' ในการจัดซื้อจัดจ้างเหมือนกับที่ทำกับ พ.ร.ก.เงินกู้ แต่ถ้าความโปร่งใสถึงกับทำให้ต้องล่ม เราก็คงคิดเองได้ครับว่าควรทำต่อไปหรือไม่
-----
อ่านประกอบ
