วิบากกรรม "เจ๊หน่อย" ยังไม่จบ!! รอดบ่วง คดีคอมฯ ฉาว สธ. ระวังเจอ "ตอ" คดีอื่น?
เจาะบัญชีคดีสอบ ป.ป.ช. พบ "เจ๊หน่อย" "คุณหญิงสุดารัตน์" ปรากฏรายชื่อเป็นหนึ่งผู้ถูกกล่าวหา คดีทุจริตจัดจ้างก่อสร้างโครงการระบายสุวรรณภูมิ สมัยดำรงตำแหน่งรมว.เกษตรฯ หลังหลุดบ่วง คดียกเลิกจัดซื้อคอมฯ ฉาว สธ. 8:0

แม้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย จะหลุดพ้น "บ่วง" คดียกเลิกการประมูลระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 821 ล้านบาท สมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปแล้ว
หลังที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา
มีมติเอกฉันท์ 8:0 ให้ยกคำร้องในส่วนของคุณหญิงสุดารัตน์
เนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อที่จะฟังได้ว่าคุณหญิงสุดารัตน์มีความผิดในคดีนี้
นอกจากนี้ ศาลปกครองยังเคยมีคำพิพากษาว่าการยกเลิกการประมูลระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายด้วย
แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว คุณหญิงสุดารัตน์ ยังคงต้องเผชิญหน้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง จากการไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. กันต่อไป
เพราะนอกจากคดียกเลิกจัดซื้อคอมฯ ฉาว แล้ว ยังมีอีก 1 คดีที่ปรากฎรายชื่อ "คุณหญิงสุดารัตน์" เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลคดีไต่สวนเรื่องทุจริต ที่อยู่ในบัญชีคดีของ ป.ป.ช. พบว่า คุณหญิงสุดารัตน์ ถูกระบุเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีการทุจริตจัดจ้างก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ สมัยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อมูลจาก ป.ป.ช. ระบุว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ กับนายสามารถ โชคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กับพวก
จากการตรวจสอบพบว่า ป.ป.ช. รับเรื่องนี้ เข้าสู่กระบวนการไต่สวน ในช่วงปลายปี 2550 ก่อนจะมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551
ปัจจุบันคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ อยู่ระหว่างขั้นตอนการสรุปสำนวนการไต่สวน เพื่อเสนอให้ที่ประชุม ป.ป.ช. ชุดใหญ่พิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากผลการสอบสวนของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ตรวจสอบพบว่า การดำเนินงานโครงการทำให้รัฐเกิดความเสียหายในหลายประเด็น
อาทิ
การกำหนดค่าออกแบบงานก่อสร้างทั้งโครงการ ทั้งที่โครงการได้มีการออกแบบบางส่วนไว้แล้ว การคำนวณราคากลางงานเครื่องสูบน้ำ งานไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบโดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ การกำหนดราคากลางงานเสาดิน-ซีเมนต์ โดยคิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไม่ถูกต้อง และการกำหนดเงื่อนไขในการจัดหาค่ายานพาหนะให้กับคณะกรรมการตรวจการจ้างและควบคุมงานมากเกินความจำเป็น ทำให้รัฐเสียหายเป็นจำนวนเงินมากกว่า 440 ล้านบาท
แต่ประเด็นที่ตอกย้ำว่าโครงการนี้ส่อเอื้อประโยชน์กันระหว่างราชการกับบริษัทเอกชนคือการกำหนดเงื่อนไขจัดหาค่ายานพาหนะให้คณะกรรมการตรวจการจ้างและควบคุมงานทั้งหมด 77 คัน ซึ่งมากเกินความจำเป็น ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านี้มีเพียง 16 คน เท่านั้น
“ ในสัญญาโครงการกำหนดเงื่อนไขจัดหายานพาหนะเพื่อควบคุมงานของผู้ว่าจ้าง (กรมชลประทาน) ค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดรวมเฉลี่ยไว้ในงานเสาเข็มดิน-ซีเมนต์ แบ่งเป็น รถยนต์ระบุยี่ห้อเล็กซัส (Lexus) 2 คัน ให้ผู้บริหารระดับสูง 2 ราย รถเก๋ง 4 ประตู 4 คัน รถตรวจการณ์ขับเคลื่อน 4 ล้อ 6 คัน รถยนต์บรรทุก 1 ตัน 13 คัน รถยนต์โดยสาร 40 ที่นั่ง 1 คัน รถส่วนกลาง 25 คัน และรถยนต์สำหรับผู้ปฏิบัติงานในโครงการ 6 คัน"
“ สตง.ตรวจพบว่าคณะกรรมการตรวจงานและผู้คุมงานส่วนใหญ่ใช้รถเดือนละ 7-15 วัน เท่านั้น กรรมการรายหนึ่งไม่ได้ใช้เลย นอกจากนี้ ยังจัดส่งไม่ครบตามสัญญา สตง.เห็นว่าการกำหนดยานพาหนะ 77 คัน ไว้ในเงื่อนไขการประกวดราคา ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามหนังสือเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องหลักเกณฑ์กำหนดราคากลางงานก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขเกินความจำเป็น และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับจ้าง ส่อเจตนาทุจริตทำให้ราชการเสียหาย”
ทั้งนี้ ในรายงานผลการสอบสวน สตง. ที่ส่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลกรมชลประทาน ระบุว่า
1.ดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการกำหนดราคากลาง รวมจำนวน 11 คน คณะกรรมการตรวจการจ้าง 11 คน รวมถึงนายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทานในขณะนั้น ในฐานะเป็นผู้อนุมัติจัดจ้าง และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯในขณะนั้น ฐานเป็นผู้เห็นชอบให้ดำเนินการจ้าง
2.ดำเนินการทางวินัยกับคณะกรรมการกำหนดราคากลาง/คณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ที่เกี่ยวข้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 10 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 สำหรับรัฐมนตรีควรพิจารณาดำเนินตามควรแก่กรณี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง สตง. สรุปผลการตรวจสอบโครงการฯ นี้ ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง สตง.เพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลการสอบสวนในโครงการนี้ทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบด้วย
ทั้งนี้ จากการเปรียบเทียบเนื้อคดีทั้ง 2 โครงการ พบว่า มีความแตกต่างกัน
โดยคดีประมูลระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 821 ล้านบาท เป็นเรื่องของการออกคำสั่งยกเลิกการประมูลโครงการ ก่อนที่จะมีการจัดซื้อของ รัฐยังไม่เกิดความเสียหาย เนื่องจากหลังการยกเลิกเงินงบประมาณที่ถูกส่งคืนกลับไปที่สำนักงบประมาณ ไม่ได้มีการนำไปใช้ในเรื่องอื่น และมีำคำพิพากษา ศาลปกครองการันตีผลการดำเนินงาน
แต่ในส่วนคดี จ้างก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นโครงการที่มีการดำเนินการไปแล้ว และสตง.ก็ตรวจพบข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในขั้นตอนการดำเนินงานจำนวนมาก ถือว่ารัฐได้รับความเสียหายแล้ว
ดังนั้น แนวทางการต่อสู้คดี จ้างก่อสร้างโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ของคุณหญิงสุดารัตน์ และผู้เกี่ยวข้อง จึงน่าจะมีความยากมากกว่า คดีการยกเลิกประมูลระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข อย่างแน่นอน
ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ จะหลุดบ่วงคดีทุจริตของ ป.ป.ช. ได้อีกครั้งหรือไม่
อีกไม่นานก็คงได้รู้คำตอบกัน !!
