สื่อในฝันของ “สุรินทร์ พิศสุวรรณ” กล้าตรวจสอบ-ไม่กลัวอำนาจรัฐ
“หน้าที่ของสื่อ คือการเปิดเผยความจริง สื่อต้องถามคำถามหนักๆ แน่นอนว่าบทบาทของสื่อต้องกระทบกระทั่งกับอำนาจรัฐ เป็นสัจธรรม ถ้าอยากยึดอาชีพนี้ โอกาสที่คุณจะขัดแย้งกับผู้มีอำนาจนั้นมีแน่ๆ แต่คุณก็ต้องทำใจ ต้องพร้อมเผชิญ”

(สุรินทร์ พิศสุวรรณ - ภาพจากเว็บไซต์สยามอินเทลลิเจนซ์)
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 56 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “จริยธรรมสื่ออาเซียน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เน้นย้ำให้สื่อมวลชนตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ ในการตรวจสอบอำนาจรัฐ, มีความกล้าหาญที่จะพิทักษ์ความจริงให้สังคม มีใจความสำคัญ ดังนี้
+++++
เวลานี้ประเทศกำลังวิกฤต เพราะเต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชั่น ท่ามกลางบริบทวัฒนธรรมการเมืองและระบบราชการแบบไทยๆ ที่เน้นการอุปถัมภ์มากกว่าความรู้ความสามารถ เต็มไปด้วยการทุจริต ปกปิดความผิด จนคล้ายกับว่าประเทศไทยในวันนี้ ไม่ต่างจากการที่คนในประเทศโดยสารอยู่บนรถฉิ่งฉาบทัวร์ที่ขับขึ้นดอยผาตั้ง คนขับเมาเหล้าและรถไม่มียางหรืออะไหล่สำรอง แต่คนขับรถก็ยังพยายามพุ่งทะยานต่อไปโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า
เป็นที่น่าเสียดายในต้นทุนที่ประเทศได้สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะประเทศที่เป็นผู้ริเริ่มและผลักดันให้เกิดการรวมตัวของชาติอาเซียน ทั้งเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านที่ดีงามมากมาย ทว่ากลับต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่นและมาตรฐานทางจริยธรรมในการบริหารประเทศ
ด้วยเหตุนี้ องค์กรเดียวที่จะคอยทำหน้าที่เป็นหลักให้แก่สังคมในการตรวจสอบผู้มีอำนาจบริหารประเทศก็คือสื่อมวลชน ที่ต้องทำหน้าที่ของตนอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญในการพิทักษ์ความจริง และกล้าที่จะต่อกรกับอำนาจความไม่ชอบธรรม
สิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับอาชีพสื่อสารมวลชน คือทำอย่างไรให้เกิดการตรวจสอบอย่างชัดเจนและโปร่งใส ทำให้คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้เวทีของการสื่อสารความจริงนี้ร่วมกัน ได้หยิบยกประเด็นต่างๆ ขึ้นมาพูดจากัน สื่อทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับควรเป็นเวทีที่ยึดมั่นในหลักการอย่างแท้จริง แต่ในความเป็นจริงก็คือเวทีนี้ยังไม่มีความสม่ำเสมอ เพราะไม่ใช่ทุกประเด็นที่ถูกนำมาเอ่ยถึง และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถพูดผ่านพื้นที่ดังกล่าวได้
ผมมาในวันนี้ เพื่อจะบอกว่าองค์กรที่มีความรับผิดชอบสูงสุดองค์กรหนึ่ง ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่เอกชน แต่คือสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่สื่อสารกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ให้เข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน บนสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งภาพสะท้อนที่ชัดเจน คม และเข้าใจซึ่งทางออกของสังคม เพราะหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ วิสัยทัศน์ก็ไม่เกิด
ปัจจุบัน สังคมไทยตกอยู่ในภาวะที่จริยธรรมของสังคมตกต่ำ ระบบราชการและการเมืองเต็มไปด้วยการอุปถัมภ์ ตำแหนงหน้าที่ในระบบราชการขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนของใคร มากกว่าความรู้ความสามารถที่มี ครั้งหนึ่งนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเปรียบเทียบว่าตำแหน่งเหล่านั้น มักมาพร้อมกับ “จดหมายน้อย” ซึ่งเมื่อแต่งตั้งขึ้นมาแล้ว บุคคลผู้นั้นก็ทำงานไม่ได้ ประเทศชาติขาดทุน ประชาชนขาดทุน และเป็นการสร้างวัฒนธรรมผิดๆ เข้าไปสู่ระบบ ทำให้คนในหน่วยงานเกิดความรู้สึกว่าตำแหน่งอธิบดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถ
ดังนั้น เราจะเอายาที่ไหนมารักษา เราจะเอาองค์กรใดมารักษาปัญหาเหล่านี้ เพื่อทำให้ทุกอย่างโปร่งใส สื่อมวลชนจึงเป็นอาชีพที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นอาชีพที่ต้องมีจริยธรรมของตัวเอง สื่อมวลชนมีอำนาจที่จะชี้ทิศทางของประเทศ มีอำนาจที่จะกำหนดทิศทางของภูมิภาคและของประชาคมโลก
ตัวอย่างบทบาทของสื่อมวลชนในระดับสากล เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจและอุดมการณ์ในการพิทักษ์ความถูกต้อง อาทิ ความศรัทธาของโทมัส เจฟเฟอร์สัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อวิชาชีพสื่อมวลชน จนถึงกับประกาศเจตนารมณ์ว่า “หากให้เลือกระหว่างการมีรัฐบาล แต่ไม่มีสื่อมวลชนที่มีเสรีภาพ เขาก็ยินยอมที่จะอยู่ในสังคมที่ไม่มีรัฐบาล” เจตนารมณ์ดังกล่าวนี้เองเป็นที่มาของการก่อตั้งเครือข่ายที่คอยให้ความช่วยเหลือนักหนังสือพิมพ์ทั่วภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก
หรือกรณีที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์และหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ตัดสินใจตีพิมพ์เอกสารลับของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แม้อาจจะหมิ่นเหม่ว่าจะถูกฟ้องร้องจากรัฐ แต่ในที่สุดสื่อทั้ง 2 ฉบับก็เลือกที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แม้การตัดสินใจดังกล่าวจะนำไปสู่การถูกฟ้องร้อง สื่อทั้ง 2 ฉบับต้องขึ้นศาล ทว่า กรณีนี้ก็นำไปสู่การหาคำตอบร่วมกันของสังคมอเมริกันว่า “อะไรบ้างคือสิทธิที่ประชาชนควรรับรู้
ผมอยากเห็นสื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างกล้าหาญ แม้อาจจะถูกฟ้องร้องหรือถูกกล่าวหาจากรัฐ กระนั้น สื่อมวลชนก็ต้องกล้าที่จะเดินเข้ากระบวนการในชั้นศาล เพื่อให้ศาลตัดสินว่าอะไรเป็นสิทธิที่ประชาชนควรรับรู้ และอะไรเป็นความลับทางราชการ มิใช่แก้ปัญหาด้วยการ “ลาออก” เมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากการต่อกรกับผู้มีอำนาจ หรือเปิดเผยข้อมูลลับของทางราชการ
ถ้าเราต้องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย เราต้องมี Freedom of the Press และ Responsibility of the Press ประชาชนต้องถือเรื่องสิทธิเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ
หน้าที่ของสื่อคือการเปิดเผยความจริง สื่อต้องถามคำถามหนักๆ แน่นอนว่าบทบาทของสื่อต้องกระทบกระทั่งกับอำนาจรัฐ เป็นสัจธรรม ถ้าอยากยึดอาชีพนี้ โอกาสที่คุณจะขัดแย้งกับผู้มีอำนาจนั้นมีแน่ๆ แต่คุณก็ต้องทำใจ ต้องพร้อมเผชิญ
สื่อมวลชนต้องมีความรับผิดชอบ มีจริยธรรม จรรยาบรรณและความกล้าหาญในฐานะผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ความจริงให้สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสังคมไทยในวันนี้มิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความโปร่งใสและความรับผิดชอบในหน้าที่
+++++
