สั่งเวิร์คชอป 12ก.ค. งัดมาตรการกระตุ้นศก.
นายกฯสั่งจัดเวิร์คชอป 12 ก.ค. ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม หลังจากสภาพัฒน์รายงานแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
รัฐบาลเตรียมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือ เวิร์คชอปในวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังและเตรียมหามาตรการกระตุ้นรองรับ หลังจากแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวจากหลายปัจจัยตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปีนี้
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานเศรษฐกิจประจำเดือนพ.ค. และแนวโน้มปี 2556 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (9 ก.ค.) โดยระบุในรายงานว่าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ยังขยายตัวได้ในกรอบที่ประมาณการไว้
สศช. ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวในช่วง 4.2-5.2% อัตราเงินเฟ้อในช่วง 2.3-3.3% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 0.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าหลังจากสศช.รายงาน นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุมครม.ว่าในวันศุกร์ที่ 12 ก.ค. นี้รัฐบาลจะกำหนดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถทำได้
"การเวิร์คชอประดับรัฐมนตรี และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในเบื้องต้นให้หน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าประชุมไปดูข้อมูลเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตัวเองมาด้วย"
ด้าน นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สศช.รายงานภาวะเศรษฐกิจในเดือนพ.ค. ยังแสดงให้เห็นถึงการลดลงของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะดัชนีการลงทุนของภาคเอกชน หดตัวลง 1.7% ดัชนีผลผลิตสินค้าทางการเกษตรหดตัว 0.3% มูลค่าการส่งออกหดตัวลง 1.2% และมูลค่าการนำเข้าสินค้าลดลง 4.8%
นอกจากนี้ ดัชนีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อรวมกับข้อมูลในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมาเป็นสัญญาณให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกของปีนี้
อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มการขยายตัวได้ดีต่อเนื่องโดยนักท่องเที่ยวในเดือนพ.ค. มีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 19.4% โดยนักท่องเที่ยวจากจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยขยายตัวสูงถึง 93.8% รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวจากรัสเซียที่ขยายตัว 73.7% ตามลำดับ
ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงโดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.3% และการว่างงานในระดับเดือนเม.ย. ยังอยู่ในระดับต่ำ 0.9%
สำหรับสถานการณ์การส่งออกสินค้าในเดือนพ.ค. มีมูลค่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์หรือประมาณ 5.8 แสนล้านบาท หดตัว 5.1% เทียบกับการขยายตัว 3.7% ในเดือน เม.ย. เมื่อคิดในรูปของเงินบาท โดยเมื่อคิดในรูปของเงินบาทพบว่ามูลค่าการส่งออกลดลง 9.8% เทียบกับการลดลง 2.4% ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
เผยเบิกจ่ายภาครัฐลดลง
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนพ.ค. 2556 พบว่า มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1.24 แสนล้านบาท คิดเป็น 5.2% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.4%
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบลงทุน จำนวน 1.67 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4.2% ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวของปีก่อน 23.6% รวม 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 1.508 ล้านล้านบาท คิดเป็น 62.9% ของวงเงินงบประมาณ โดยมีการเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 1.79 แสนล้านบาท คิดเป็น 44.9% ของวงเงินงบประมาณลงทุนทั้งหมด
ประเมินศก.โลกฟื้นตัวอย่างช้าๆ
สศช. ยังประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกว่าอยู่ในระหว่างการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำในไตรมาสแรก แต่มีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงหดตัว อัตราการว่างงานยังอยู่ในเกณฑ์สูงแต่ภาคการผลิตเริ่มมีเสถียรภาพและส่งสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้น ส่วนสัญญาณเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และมาตรการขยายปริมาณเงิน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก
สำหรับเศรษฐกิจของจีน ยังคงแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในกรณีที่ดัชนี HSBC-PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.ย.ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับ 48.2 ซึ่งเป็นระดับที่แสดงให้เห็นถึงการหดตัวของกิจกรรมการผลิต ในขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ
นอกจากนั้น ยังมีสถานการณ์ดอกเบี้ยการกู้ยืมระหว่างธนาคารเพิ่มสูงขึ้นจนสร้างความกังวลให้นักลงทุนทั่วโลกอีกด้วย
ส.อ.ท.แนะรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาวะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงต้องการให้รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อเพิ่มการลงทุนภาครัฐ รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลดำเนินการลงทุนตามแผนบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 2 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนดังกล่าวต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยถ้าผ่านขั้นตอนทางกฎหมายมาแล้วก็ควรเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้ประเทศเสียโอกาสพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพราะประเทศเพื่อนบ้านก็มีการลงทุนพัฒนาเช่นกันก็จะได้เชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน และถ้าไทยไม่ลงทุนก็อาจจะเสียโอกาสทางธุรกิจไปประเทศอื่น
นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า ภาคเอกชนกังวลว่าจะไม่เกิดการลงทุนบริหารจัดการน้ำและการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งการลงทุนบริหารจัดการน้ำมีเป้าหมายลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นหลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 และไทยยังต้องพึ่งพาภาคการเกษตรจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยถ้ามีการดำเนินการอย่างโปร่งใสก็เดินหน้าต่อไป
ทั้งนี้ การส่งออกยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เพราะว่ามีสัดส่วน 50-60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งการแข่งขันทางการค้าในปัจจุบันยังมีช่องที่จะขยายตลาดได้ และถ้าทุกฝ่ายช่วยกันลดอุปสรรคการส่งออกก็อาจจะทำให้ผู้ส่งออกไทยทำตลาดได้ดีกว่าประเทศอื่น แต่ก็ต้องทำให้การส่งออกขยายตัวทั้งมูลค่าและปริมาณ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันที่ 31 บาทเศษ ก็อยู่ในระดับที่ผู้ส่งออกพอใจเมื่อเทียบกับบางช่วงที่เคยแข็งค่าไปอยู่ที่ 28 บาทเศษ
เร่งลดต้นทุนรับครึ่งปีหลัง
นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า เอกชนจะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอย่างใกล้ชิดและลดต้นทุนธุรกิจเพื่อประคองกิจการให้อยู่รอดเพราะภาวะเช่นนี้อาจมีผลให้ผลประกอบการลดลง ซึ่งการส่งออกของไทยปีนี้อาจขยายตัวน้อยกว่า 3% และอาจส่งผลให้จีดีพีขยายตัว 4.3%
"ความต้องการสินค้าในประเทศชะลอตัว เพราะนโยบายประชาชนนิยมที่ผ่านมาทำให้ประชาชนมีภาระหนี้มากขึ้น เช่น รถยนต์คันแรก รวมทั้งตลาดส่งออกชะลอตัวหลายตลาด เช่น จีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุ่น"
นายวัลลภ กล่าวว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลภาคการผลิตและการค้าบริการให้มีความเข้มแข็งเพราะเป็นส่วนที่มีการจ้างงานสูง โดยรัฐบาลต้องดูแลเชิงลึกและเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันอย่างจริงจัง เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้นำรายได้เข้าประเทศมาก ซึ่งรัฐบาลไม่ควรมองเฉพาะการผลักดันนโยบายประชานิยมเพียงอย่างเดียว เพราะจะมีผลต่อการใช้จ่ายภาครัฐ
ขอบคุณข่าวจาก

