“วิชา มหาคุณ” กม.คุ้มครองพยาน ป.ป.ช. ไม่ได้คุ้มครองแค่ "พยาน"
"...พยานในความหมายของ ป.ป.ช.อาจต่างจากตำรวจ เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. เน้นที่ความสำคัญของกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูล และให้ความสำคัญในการได้ตัวพยาน เพราะข้อมูลทุกชิ้นเหมือนจิ๊กซอว์แต่ละส่วน สำนักงาน ป.ป.ช.ในหลายๆ ประเทศ จึงต้องมีระบบที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้ที่มาให้ข้อมูลยิ่งกว่าไข่ในหิน...” 
(วิชา มหาคุณ - ภาพจากเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ช.)
สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี หลังจากสำนักงาน ป.ป.ช.โดย นายณรงค์ รัฐอมฤต เลขาธิการ ป.ป.ช.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานการให้ความคุ้มครองช่วยเหลือพยาน กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการใช้กฎหมายคุ้มครองพยานร่วมกัน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2554 ระเบียบ ป.ป.ช.ว่าด้วยการคุ้มครองพยาน พ.ศ.2554 และ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ.2546
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ภารกิจงานคุ้มครองช่วยเหลือพยาน : เครื่องมือในการปราบปรามการทุจริต” มีใจความว่า การให้ความปลอดภัยแก่ผู้มาให้เบาะแสในคดีต่างๆ มีความสำคัญ เพราะถือเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมือในการแสวงหาตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ และร่วมหยุดยั้งการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งในประเทศและระดับชาติ
นายวิชา กล่าวว่า หลักสำคัญในการทำตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 103/2 คือการคุ้มครองผู้มาให้เบาะแส รวมถึงผู้ใกล้ชิดบุคคลนั้นๆ ต้องได้รับการป้องกัน ไม่ให้เกิดการแก้แค้น รวมทั้งปกปิดที่อยู่ของผู้ให้เบาะแส เพื่อให้รอดพ้นจากการปฏิบัติที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ทั้งนี้ การคุ้มครองพยานหรือผู้ให้เบาะแสจะเน้นตั้งแต่กระบวนการก่อนการไต่สวน โดยไม่ละทิ้งหลักการด้านพฤติกรรมศาสตร์ ที่ย่อมมีความเชื่อมโยงบุคคลหรือเอกสารหลักฐานต่างๆ อย่างคดีรับจำนำข้าว นอกจากตรวจสอบจากเช็ค 1.4 พันฉบับแล้ว ยังต้องแสวงหาผู้ที่จะมาให้ข้อมูลต่อไปในอนาคต ซึ่งเราเรียกคนเหล่านี้ว่า “ผู้ให้เบาะแส”
“ดังนั้น พยานในความหมายของ ป.ป.ช.อาจต่างจากตำรวจ เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. เน้นที่ความสำคัญของกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูล และให้ความสำคัญในการได้ตัวพยาน เพราะข้อมูลทุกชิ้นเหมือนจิ๊กซอว์แต่ละส่วน สำนักงาน ป.ป.ช.ในหลายๆ ประเทศ จึงต้องมีระบบที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้ที่มาให้ข้อมูลยิ่งกว่าไข่ในหิน” นายวิชากล่าว
กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ ยังกล่าวถึงการไต่สวนคดีทุจริตคอร์รัปชั่นว่า จะต้องใช้การสืบจากหลายเบาะแส หลายข้อมูล เพื่อนำมาต่อจิ๊กซอว์ให้ศาลได้เห็น ซึ่งการแสวงหาข้อเท็จจริงจะทำแบบเปิดหน้าชกไม่ได้ เพราะหลายครั้งที่กระบวนการนี้มิได้สู้กับเฉพาะตัวบุคคล แต่ยังรวมอาจถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จึงต้องมีการคุ้มครองผู้ให้เบาะแสในการตามรอย นำเอาทรัพย์สินหรืองบประมาณแผ่นดินกลับคืนมา
“หากไม่มีการคุ้มครองผู้ให้เบาะแส พวกเขาอาจจะถูกสังหาร เช่นในประเทศอิตาลี ผู้พิพากษาถูกพวกมาเฟียวางระเบิดจนเสียชีวิต ทำให้ผู้พิพากษาหลายๆ คนต้องเปลี่ยนรถ เปลี่ยนที่อยู่ อยู่ตลอดเวลา” นายวิชากล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า การลงนามระหว่าง ป.ป.ช.กับ สตช.ในการใช้กฎหมายคุ้มครองพยานร่วมกัน ตามหลักการคุ้มครองพยานที่ สตช.ใช้ ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ อาญา) ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ให้เบาะแสอื่นๆ ต่างกับกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ให้ความคุ้มครองทั้งพยานและผู้ให้เบาะแสอื่นๆ โดยที่พวกเขาเหล่านั้น สามารถยื่นคำร้องเรียนไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ป.ป.ช. สตช. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
“หลายคนมักพูดว่า ป.ป.ช.ทำงานล่าช้า แต่สิ่งที่ทำให้การทำงานล่าช้าประการหนึ่ง ก็คือการขาดพยานหลักฐาน ขาดผู้ที่จะกล้ามาให้เบาะแส เพราะปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมไทยก็คือระบบอุปถัมภ์ นอกจากนี้ใน ป.วิอาญาของเรา ไม่มีกระบวนการคุ้มครองพยานเลย เมื่อเขาลงจากโรงพักหรือ หรือมาแจ้งความที่ ป.ป.ช. แล้วก็โดนฆ่าเลย ดังนั้นกระบวนการนี้จึงต้องทำแบบบูรณาการ ว่าจะให้ความช่วยเหลือผู้ให้เบาะแสได้ย่างไร ไม่ใช่เพียงให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วจบ เพราะถิ่นที่อยู่เดิมของเขาอาจไม่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องย้ายไปอาศัยยังต่างประเทศ หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ก็ต้องทำ” นายวิชากล่าว
ก่อนปิดจบการปาฐกถา นายวิชายังกล่าวถึงกรณีศึกษาการคุ้มครองพยานของ ป.ป.ช.ว่า พยานรายแรกที่ ป.ป.ช.ให้การคุ้มครองก็คือนางจินตนา แก้วขาว ผู้ร้องเรียนคดีทุจริตก่อสร้างโรงไฟฟ้าหินกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยนางจินตนาเคยถูกลบสังหารในคุกถึง 3 ครั้ง เมื่อตอนที่ศาลพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากบุกงานเลี้ยงโรงไฟฟ้า ส่วนสามีของนางจินตนาถูกสังหารไปแล้ว ดังนั้น นางจินตนาจะตายไม่ได้อีก เพราะเป็นผู้ให้เบาะแสสำคัญในคดีดังกล่าว โดย ป.ป.ช.ได้ประสานงานกับกรมราชทัณฑ์ โดยประสานไปยัง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้เจ้าหน้าที่ดูแลนางจินตนาอย่างรอบคอบ เมือนางจินตนาออกมาแล้ว ป.ป.ช.กับตำรวจก็ยังให้การคุ้มครอง
“หลังจากลงนามร่วมกันแล้ว หน้าที่ในการคุ้มครองพยานจึงเป็นการผสานความร่วมมือกัน ระหว่าง ป.ป.ช.กับ สตช. โดยจะทำหน้าที่ประสานกันระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค เพราะการให้ความคุ้มครองพยานหรือผู้ให้เบาะแส ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่เจตนารมณ์นี้จะสำเร็จได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากตำรวจที่เป็นสายธารแรกของกระบวนการยุติธรรม” นายวิชากล่าว
