ไทยโพสต์ออนไลน์ :::: ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ ความจริงใ
26 พฤษภาคม 2554
ไม่ทราบว่าเพราะปี่กลองเลือกตั้งเสียงดัง คึกคัก เร้าใจขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่งวดใกล้เข้า 3 กรกฎาคม 2554 หรือเปล่า ทำให้สังคมไทยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายถึงสีสันการเมืองไทยในวันนี้ ยิ่งถ้ารวมกับวงการพนันขันต่อ..ประเภท
ใคร? พรรคไหน?จะได้ที่นั่งในสภาเป็นอันดับหนึ่ง
ตัวเลขสูสี! มากกว่าหรือน้อยกว่ากัน 20 หรือแค่ต่ำสิบ!
ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรกหรือเปล่านั้น
แม้กระทั่ง “ชูวิทย์” เบอร์5 จะได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เข้าไปเป็นฝ่ายค้านสมใจปรารถนาหรือไม่
..รับรองว่า โพยก๊วน หวยเถื่อน “ชิดซ้าย” ไปเลยก็ได้
เมื่อการเลือกตั้งกลายเป็นลมหายใจเข้า-ออกของคนไทยในวันนี้ จนกว่าจะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ..จู่ๆก็มีจดหมายน้อยส่งมาแสดงความคิดเห็นกับเราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง..แน่ ใจหรือว่าจะมีการปฏิรูป! มาหากระผมโดยเฉพาะ โดยเริ่มต้นระบุว่า เป็นคนหนึ่งที่ไปนั่งฟังการเสวนา “เลือกตั้งทั้งทีต้องมีการปฏิรูป” ที่จัดโดยคณะกรรมการปฏิรูป หรือคปร.เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ผมขอตัดตอนอารัมภบทไป และนำมาแต่เนื้อๆนะครับ เธอใช้นามแฝงว่า “แม่บ้านตัวจริง”มีดังนี้.
ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) นักปรัชญาสังคมชาวสวิส ผู้มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส อรรถาธิบาย ถึงความสำคัญของคำว่า “ผู้แทนราษฎร” ไว้อย่างน่าสนใจว่า “อัน ที่จริงอำนาจอธิปไตยเป็นสิ่งที่จะให้กันไม่ได้ ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันกับข้อที่ว่าอำนาจอธิปไตยมิใช่สิ่งที่โอนให้กันได้ ธาตุแท้ของอำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ที่เจตจำนงทั่วไปของราษฎร และธรรมดาเจตจำนงมิใช่สิ่งที่จะแทนกันได้ เจตจำนงหากไม่คงอยู่สภาพเดิมก็ต้องเปลี่ยนสภาพไปเป็นอื่น จะอยู่กลางๆ หาได้ไม่ ฉะนั้นที่เรียกกันว่าผู้แทนราษฎรนั้นที่แท้จริงก็เป็นแต่เพียงผู้รับหน้าที่ จากราษฎรไปปฏิบัติชั่วครั้งคราว หาใช่ผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริงไม่ ดังนั้นจึงย่อมไม่มีสิทธิจะกระทำการใดๆ ที่เป็นการผูกมัดราษฎรอย่างเด็ดขาด”
ดิฉันจึงไม่อยากได้ยินไม่อยากฟังอีกแล้วว่า สส.หรือพรรคการเมืองทั้งหลาย จะอ้างความเป็นตัวแทนแล้วบอกว่า พรรคตัวเองจะต้องได้จัดตั้งรัฐบาล เหมือนกันดิฉัน “เซ็ง” ที่มีคนบอกว่า ทำไมเป็นผู้หญิงแล้วไม่เชียร์ผู้หญิงให้เป็นใหญ่
หากสังคมไทยยังย่ำอยู่กับกระผีก ไม่ย่อมศึกษาเข้าไปถึงประเด็นหรือแก่นแท้ หัวใจของคำว่าประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ดิฉันเห็นว่าการปฏิรูปยังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกยาวไกล การหวังพึ่งพานักการเมือง หรือพรรคการเมืองเพื่อก้าวกระโดดให้การปฏิรูปเป็นจริงนั้นน่าจะกลายเป็นความ หวังลมๆแล้งๆเสียมากกว่า
อยากเห็นการปฏิรูปล่ะก็ ดิฉันว่า พวกเราต้องลงมือเองค่ะ เริ่มจากการเลือกคนดีเข้าสภานี่แหละ !
ดูเหมือน คุณ”แม่บ้านตัวจริง” ไม่ได้ต้องการคำตอบจากผม แต่ผมก็เห็นด้วยครับว่า สำหรับประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว การเลือกตั้งคือวิถีทางที่สำคัญในการสรรหาบุคคลเข้าสู่อำนาจรัฐที่ประชาชน ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง มีโอกาส มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุด แล้วการเลือกตั้งนี่เองที่ถูกนักการเมืองเอาประชาชนเสียงส่วนใหญ่ไปอ้างเป็น ความชอบธรรมทำไอ้โน่นไอ้นี่มากที่สุดเช่นกัน
จึงนับเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเหลือเกินครับที่ความพยายามของคปร.และสมัชชา ปฏิรูปประเทศ ตลอดจนองค์กรต่างๆในการรณรงค์ให้พรรคการเมืองนำแนวทางการปฏิรูปประเทศบรรจุ ไว้เป็นนโยบายพรรค โดยนำไปหาเสียงเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอีกทอดหนึ่งนั้น ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักการเมืองของแต่ละพรรคเท่าที่ควรจะเป็นนัก
ทั้งนี้เห็นและฟังได้จากพื้นที่ข่าวสารตามสื่อต่างๆ ที่แต่ละพรรคการเมืองมุ่งนำเสนอตัวบุคคล พร้อมกับนโยบายประชานิยมที่ปราศจากความยั่งยืนอยู่เนืองๆ หรือไม่ก็โจมตีฝ่ายตรงข้ามเป็นการสร้างอรรถรสบนถนนการเมือง เรียกคะแนนเสียงตามยุทธศาสตร์การตลาดมากกว่าที่จะคิดนำแนวทางหรือข้อเสนอของ กลุ่มต่างๆเพื่อการปฏิรูปสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ ไปปฏิบัติให้เป็นจริง หรือทำการบ้านกับข้อเสนอทั้งหลายอย่างจริงจัง
น่าเสียดายที่ไม่ได้ยินได้ฟังพรรคไหนจะนำแนวทางการปฏิรูปที่ดิน หรือปฏิรูปการเกษตรที่คปร.ศึกษาอย่างละเอียดไปต่อยอด และไม่เห็นมีพรรคไหนสนใจเลยว่า ปัญหาแรงงานนั้น เป็นต้นเหตุของความซับซ้อนในสังคมไทยที่สมควรต้องมีการปฏิรูป เฉกเช่นเดียวกับข้อเสนอของผู้อาวุโส ที่ได้รวมตัวกันทำ “โรดแม็พ” นำเสนอต่อพรรคการเมือง ด้วยหวังว่า แต่ละพรรคจะสนใจบรรจุประเด็นสวัสดิการเพื่อผู้สูงวัยเข้าไปเป็นนโยบายใน อนาคตอันใกล้ เพราะสังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยทีละเล็กทีละน้อยอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้อีกต่อไปนั่นเอง
ผมเห็นด้วยกับคุณ “แม่บ้านตัวจริง” ครับว่าเราไม่ต้อง ร้องเพลงรอพรรคการเมืองใส่ใจกับการปฏิรูปหรอกครับ แต่เราต่างหากที่ต้องลงมือปฏิรูปเสียเอง เริ่มจากปฏิรูปวิธีคิด อย่าไปหลงเชื่อว่า นโยบายประชานิยมต่างตอบแทน คือหนทางออกของสังคมไทย
ถ้าเราเริ่มรู้จักคิดได้ว่า หัวใจประชาธิปไตยที่แท้จริง คือ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การบริหารเศรษฐกิจ เชื่อได้ว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองก็คงไม่กล้าที่จะย่ำอยู่กับที่ในน้ำเน่า
หากเจ้าของประเทศหรือประชาชนแสดงเจตน์จำนงชัดเจน ว่า อนาคตของประเทศไม่เพียงแต่จะยืนอยู่บนนโยบายการหาเสียงของนักการเมือง พรรคการเมือง ที่บอกว่าเป็นสัญญาประชาคมเท่านั้น แต่ต้องเป็นนาคตที่ภาคประชาชนกำหนดเองด้วย...นักการเมืองก็ต้องหยุดคิด และ หันกลับมามองการพัฒนาในระบบเลือกตั้งที่มีมากกว่าการหย่อนบัตรแน่นอน
ในช่วงการเลือกตั้งแบบนี้ หากประชาชนช่วยกันตั้งคำถามเรื่องการปฏิรูปกับนักการเมือง ก็จะเป็นการสร้างเงื่อนไข กดดันให้นักการเมืองที่เข้ามาสู่อำนาจได้ปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน...จริงไหม
นายใฝ่ฝัน ปฏิรูป