'ศุภชัย'แนะผ่าทางตันข้าว
"ศุภชัย" ชี้นโยบายจำนำข้าวบริหารจัดการยาก เหตุโยงอยู่กับราคาข้าวในตลาดโลก แนะรัฐมุ่งตลาดส่งออกแอฟริกา ใช้เอ็กซิมแบงก์ขยายสินเชื่อจูงใจนำเข้า
รัฐบาลอยู่ในระหว่างการจัดทำแผนระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกซึ่งตามตัวเลขขององค์การคลังสินค้าระบุว่ามีข้าวอยู่ในสต็อกของรัฐบาลถึง 17 ล้านตัน โดยนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าจะมีการเร่งระบายข้าวผ่านวิธีการต่างๆ ได้แก่ การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) การประมูลโดยภาคเอกชน
นายศุภชัย พานิชภักดิ์เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ให้สัมภาษณ์พิเศษ"กรุงเทพธุรกิจ"ถึงแนวทางการบริหารจัดการข้าวของรัฐบาล โดยการเพิ่มบทบาทการขายข้าวของไทยในตลาดโลก และวิธีการระบายข้าวที่ไทยจะได้ประโยชน์มากขึ้น
แนวโน้มราคาพืชอาหารขาลง
นายศุภชัย กล่าวว่า สถานการณ์ของตลาดและการค้าข้าวในต่างประเทศ ในปัจจุบันว่าขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งจำนวนมาก การที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออกและระบายข้าวไปในต่างประเทศให้ได้มากขึ้น จำเป็นที่จะต้องวางแผนการระบายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และต้องสอดคล้องกับระดับราคาที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับโครงการ
"การระบายข้าวที่ผ่านมาถือว่าผิดพลาด เนื่องจากเราไม่ได้ระบายข้าวในช่วงที่ราคาในตลาดโลกขึ้นสูง แต่เราเลือกที่จะเก็บข้าวไว้ในปริมาณมากและตอนนี้จะระบายในช่วงที่ราคาตก ซึ่งแนวโน้มราคาของพืชอาหารในขณะนี้ก็ยังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งนโยบายจำนำข้าวเป็นการทำนโยบายโดยอิงกับราคาของตลาดโลกถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบาก ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตข้าวจึงไม่ควรไปเล่นกับราคาตลาดเพราะเราบริหารจัดการยาก"นายศุภชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้การค้าข้าวในตลาดโลกจะแข่งขันกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเรื่องราคา แต่ยังมีตลาดที่ต้องการข้าวจากไทยแม้จะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่า เช่น ประเทศในแอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีความต้องการข้าวจากไทยเป็นปริมาณมาก
แนะดึงเอ็กซิมฯผ่อนปรนสินเชื่อยาว
ทั้งนี้ การที่จะส่งออกข้าวไปแอฟริกาหรือตลาดใหม่ๆ ในประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศด้อยพัฒนา รัฐบาลอาจจะต้องขยายระยะเวลาให้สินเชื่อกับประเทศต่างๆ โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้ว คือ ธนาคารเพื่อการส่งเสริมการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) ในการให้สินเชื่อหรือค้ำประกันสินเชื่อการนำเข้าข้าวจากไทยร่วมกับธนาคารเพื่อการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ต้องการซื้อข้าวจากไทยเพื่อขยายระยะเวลาให้สินเชื่อการนำเข้าข้าวจากไทย หรือผ่อนปรนการผ่อนชำระเงินเป็นงวดๆ เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นซื้อข้าวจากไทยได้มากขึ้น
"ผมเดินทางไปในแอฟริกาหลายประเทศ แสดงความต้องการซื้อข้าวจากไทย แต่ก็มีความเห็นว่าข้าวไทยราคาแพง หากลดราคาลงอาจซื้อในปริมาณที่มากขึ้น หรือหากขายราคาเดิมแต่ให้สินเชื่อกับประเทศเหล่านั้นโดยใช้ช่องทางของธนาคารเพื่อการส่งออกฯที่ไทยกับแอฟริกาติดต่อกันอยู่แล้ว เพื่อให้เขามาซื้อข้าวไทยเราก็จะมีแต้มต่อในการยืดเวลาในการชำระเงินเพื่อเพิ่มการส่งออกข้าวมากขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นทางออกในการระบายข้าวที่ดีอย่างหนึ่ง"
แนะตัดตอนโบรกเกอร์หนุนค้าปลีกเอง
เขากล่าวด้วยว่า ขณะนี้การขายข้าวในตลาดต่างประเทศของไทย ในปัจจุบันเป็นการขายข้าวผ่านประเทศที่ 3 อยู่มาก เช่น การขายข้าวไทยโดยนายหน้าสิงคโปร์(โบรกเกอร์) ซึ่งนำข้าวไทยที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ ไปผ่านวิธีการบรรจุหีบห่อใหม่และเปลี่ยนชื่อยี่ห้อใหม่ เพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งตลาดตรงนี้ไทยควรเข้าไปมีบทบาทเอง
โดยรัฐบาลควรส่งเสริมให้เอกชนไทยเป็นผู้เข้าไปลงทุน เพราะในส่วนนี้ถือว่าเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่และแพร่หลายไปทั่วโลก เนื่องจากคนส่วนใหญ่ทั้งในเอเชียและยุโรปก็ซื้อข้าวในลักษณะซื้อปลีกทีละ 5 - 10 กิโลกรัมมากกว่าซื้อทีละกระสอบ ซึ่งการพัฒนาข้าวไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดค้าปลีกทั่วโลกถือว่าเป็นช่องทางที่ยังสามารถส่งเสริมและพัฒนาได้อีกมากและจะช่วยให้การระบายข้าวได้ทางหนึ่งด้วย
"การซื้อขายข้าวผ่านคนกลางที่เป็นคนต่างชาติมากเกินไป ถือเป็นการเสียโอกาส เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่ได้มีความสามารถอะไรนัก นอกจากการติดต่อกับต้นทางคือประเทศไทย ที่ผลิตข้าวและปลายทาง คือ ตลาด บวกกับความสามารถในการสร้างเครือข่ายการขนส่ง และการตลาด ซึ่งวิธีการแบบนี้คนไทยก็น่าจะทำได้ เราก็ต้องพยายามพัฒนาในส่วนนี้ขึ้นมา ซึ่งหากสามารถพัฒนาได้และเมื่อในอนาคตภูมิภาคนี้ขายข้าวได้มากขึ้น ไทยก็สามารถมีบทบาทในการเป็นโบรกเกอร์ข้าวของภูมิภาคได้ ซึ่งถือว่าเป็นการต่อยอดจากการผลิตข้าว ที่เราสามารถทำได้ดีอยู่แล้ว"นายศุภชัยกล่าว
ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเขามองว่าวิธีการแทรกแซงราคาไม่จำเป็น ต้องทำไปตลอดฤดูกาลผลิต แต่ควรทำแค่เฉพาะช่วงต้นของฤดูกาลผลิตเท่านั้นเนื่องจากในช่วงต้นของฤดูกาลผลิต จะมีปริมาณข้าวออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในอดีตกระทรวงพาณิชย์ ก็เคยใช้วิธีการรับจำนำเฉพาะช่วงต้นฤดูการผลิตมาแล้วและสามารถควบคุมการใช้เม็ดเงินได้
โจทย์ใหญ่ท้าทายรัฐระบายสต็อก
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัญหาเฉพาะหน้าในขณะนี้ ไม่ใช่การแก้ปัญหาโครงการรับจำนำ แต่เป็นปัญหาในเรื่องการระบายข้าวในสต็อกออกไปมากกว่าเพราะอย่างที่ทราบกันว่า ในเวลานี้รัฐบาลมีสต็อกข้าวอยู่ในมือมาก ขณะที่ข้าวใหม่ในฤดูกาลผลิตต่อไปก็จะเข้ามาอีก
"ข้าวที่มีอยู่ในสต็อกรัฐบาลจะต้องหาทางระบายออกไปให้ได้ จะวนขายอยู่ในประเทศ คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะอีกไม่นานข้าวในฤดูกาลใหม่ก็จะเข้ามาสู่โครงการอีก ผมเชื่อว่ารัฐบาลต้องยอมขายขาดทุนเอาข้าวออกไปก่อน"
เขากล่าวต่อด้วยว่า ข้าวไทยมีคุณภาพที่ชัดเจน ซึ่งแทบจะไม่มีความจำเป็นในเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์เพิ่มเติม เพียงแต่ว่าจะต้องหาทางพัฒนาในเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องของการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ หีบห่อ และดูในเรื่องของระยะเวลา การระบายให้เหมาะสม และทำหน้าที่โบรกเกอร์ให้มากขึ้น โดยไม่ปล่อยให้คนอื่นทำหน้าที่โบรกเกอร์ข้าวของเรามากจนเกินไปนัก
นอกจากนี้เห็นว่า ในการส่งเสริมข้าวคุณภาพสูง ซึ่งต้องรักษาไว้ให้ดี ต้องมีการส่งเสริมให้ความรู้ สนับสนุนให้มีการลดต้นทุนมากขึ้น และข้าวที่คุณภาพต่ำก็ไม่ควรส่งเสริมให้ปลูกมาก เพราะจะทำให้เสียตลาดข้าวและดึงราคาของข้าวคุณภาพสูงของไทยให้ลดต่ำลงด้วย
หนุนโซนนิ่งคุมผลผลิตสอดคล้องตลาด
สำหรับนโยบายการทำโซนนิ่งเกษตร เพื่อจำกัดปริมาณการปลูกข้าว และกำหนดการปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆ นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสิ่งที่มีแนวความคิดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทยมานานแล้ว สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องนำมาปฏิบัติให้ได้เป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณผลผลิตให้สอดคล้องกับตลาด และลดงบประมาณในการอุดหนุนสินค้าเกษตรได้
นอกจากนั้นยังสามารถส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพสูงในพื้นที่ ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าว ไม่เช่นนั้นในระยะยาวไทยจะแข่งขันกับประเทศที่มีความได้เปรียบในการปลูกข้าว เช่น เวียดนาม ได้ยากขึ้น
"เวียดนามเป็นคู่แข่งการผลิตข้าวที่สำคัญของไทยในอนาคต เนื่องจากข้อได้เปรียบในเรื่องของภูมิศาสตร์ มีพื้นที่ชลประทานโดยธรรมชาติ เนื่องจากอยู่ตอนใต้สุดของลุ่มแม่น้ำโขง ขณะที่ไทยยังต้องลงทุนในเรื่องของชลประทานสูงมาก ในการทำระบบชลประทาน แต่เชื่อว่าคุณภาพข้าวของเวียดนามยังสู้ไทยไม่ได้ แต่ไทยต้องกลับมาเน้นการศึกษาระบบการปลูกข้าว ให้เหมือนกับการพัฒนาการปลูกมันสำปะหลัง เพื่อให้สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้มากขึ้น"
ขอขอบคุณข่าวจาก

